วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระลึกถึงวีระบุรุษแห่งชาติ

ระลึกถึงวีระบุรุษแห่งชาติ



ความคิดเกี่ยวกับการปฏิวัติและความฉลาดการเป็นผู้นำแห่งชาติของประธาน “ไกสอน  พรมวิหาน”  ซึ่งมีการกล่าถึงเมื่อวันศุกข์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันครบรอบ 90 ปี ของท่านประธาน

รัฐมนตรี  สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของรัฐบาล และสมาชิกพรรคได้เข้าร่วมกับคณะกรรมการกลางของพรรคเพื่อระลึกถึงวันครบรอบในวันที่ 13 ธันวาคม นี้ ที่อยู่ของประธานได้โฆษณาโดยคณะกรรมการกลางของพรรค “ Dr Phadduangchit  Vongsa” เขากล่าวว่า ความกล้าหาญนาการต่อสู้ของท่านประธานในช่วงการปล่อยปล่อยอิสรรภาพแห่งชาติ 

“ไกสอน  พรมวิหาน”   เป็นผู้ก่อตั้งพรรคประชาชนลาวปฏิวัติ และเป็นเลขาธิการคนแรกของพรรค ท่านได้เริ่มชีวิตแห่งการปฏิวัติเมื่อปี 1947 / 2490 “ไกสอน  พรมวิหาน”  เป็นผุ้ยิ่งใหญ่ และมีความกล้าหาญในการปฏิวัติ   ซึ่งท่านเหมาะสมกับการเป็นผู้นำ “ Dr Phadduangchit  Vongsa” กล่าวว่า  การถือเอากำลังของศัตรูให้กลายเป็นมิตรสหายนี้เริ่มขึ้นเมื่อ 1975 / 2518 ซึ่งเป็นปีแห่งอิสรถาพแห่งชาติ และในที่สุดนำไปสู่การจัดตั้ง “สาธารณรัฐประชาธิประไตยประชาชนลาวในวันที่ 2 ธันวาคม   1975 / 2518   ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของประธาน“ไกสอน  พรมวิหาน”   ชัยชนะในปีนี้เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สร้าง “ Lao people  is Democratic Republic ( PDR )  ซึ่งมาจากความสามารถของท่านไกสอน  พรมวิหาน “เขากล่าว”  การปฏิวัติลาวจริงคาดว่าจะมีมากกว่านั้น

Dr Phadduangchit  Vongsa  พูดว่า  เมื่อเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งเป็นการต่อสู้กับอาณานิคมเหมือนกัน ซึ่งอสรถาพของชาติลาวนั้นเกิดขึ้นปี 1975 / 2518   สิ่งดลใจของท่านประธานนี้เป้นพลังกระตุ้นที่เหมาะสมกับการเคลื่อนไหวของกองทัพประชาชนลาว 

ไกสอน  พรมวิหาน มีความเกี่ยวพันสำคัญกับการโฆษณา  ในขณะที่ผู้นำลาวเข้าใจว่าการรวบรวมประชาชนลาวให้เป็นหนึ่งเดียวและการสนับสนุนกิจกรรมการปฏิวัติลาว  “ Dr Phadduangchit  Vongsa” กล่าวสรรเสริญท่านประธานไกสอน  พรมวิหาร  เป็นกิจกรรมการโฆษณาที่สำคัญมาก

ตัวอย่างนี้ของการรอดพ้นจากคุกเมื่อท่านประธานถูกกักกันและเขาแนะนำเกี่ยวกับการปฏิวัติโดยใช้ฝ่านเสนาธิการในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อร่วมมือกันในการช่วยท่านผู้นำ  เขากล่าว

ยุทธวิธีบทเรียนล่าสุดสำหรับพรรคประชาชนปฏิวัติลาวในการเคลื่อนไหวของประชาชนลาวทั้งประเทศเพื่อให้เป็นอันเดียวกันและสนับสนุนการเข้าร่วมเพื่อพัฒนาชาติ และรัฐธรรมนูญ เขาพูด  ซึ่งท่านประธานไกสอน ได้ให้ทฤษฏีและแบบแผนการปฏิบัติใหม่

ประธานไกสอน  รักในการศึกษาและสอนเรื่องการมีระเบียบวินัยอีกทั้งความกระตื้อรือล้นในการเรียนรู้ เขาพูด ท่านประธานไกสอน  พรมวิหาร เกิดเมื่อ 13 ธันวาคม 1920 / 2463 และเวียชีวิต เมื่อ 21 พฤศจิกายน 1992 / 2535 ท่านปรานได้ทำการปฏิวัติตั้งแต่วัยรุ่น และมีความรับผิดชอบ ดังนั้นท่านจึงกลายเป็นผู้นำสูงสุดของรัฐบาล

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นายกรัฐมนตรีลาวเรียกร้องประชาชนรักษาพยาบาลในประเทศ พร้อมเดินหน้าให้ต่างชาติลงทุนร่วม


นายกรัฐมนตรีลาวเรียกร้องประชาชนรักษาพยาบาลในประเทศ พร้อมเดินหน้าให้ต่างชาติลงทุนร่วม


สำนักข่าวเวียงจันทน์ไทม์รายงานว่า นายบัวสอน พรมวิหาน นายกรัฐมนตรีของประเทศลาวพร้อมทั้งรัฐมนตรีอีกหลายคนตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลมิตรภาพพร้อมทั้งกล่าวเรียกร้องประชาชนชาวลาวให้ใช้บริการสาธารณสุขของประเทศแทนที่จะข้ามพรมแดนไปใช้ในประเทศเพื่อนบ้าน

“โรงพยาบาลของเราต้องมีนโยบายดึงดูดที่จะให้ประชาชนลาวเข้าใช้ แทนที่จะเป็นคนไข้ที่หายเข้าไปในพรมแดนเพื่อไปรักษาในโรงพยาบาลอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งโรงพยาบาลเหล่านั้นก็เป็นเพียงโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างจากโรงพยาบาลของเราที่มีคุณภาพระดับประเทศ” นายบัวสอนกล่าว

นายบัวสอนยังกล่าวกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอีกว่า ในอนาคตเราจะมีนักลงทุนจากต่างชาติมาลงทุนร่วมในลาวเพื่อพัฒนาระบบการสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ในวันเดียวกัน (1 ธ.ค.) ซึ่งเป็นหนึ่งวันก่อนวันชาติลาว (2 ธ.ค.) เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลยังได้มีการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลอีกหลายแห่งในเวียงจันทน์ โดยทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเปิดให้มีการลงทุนร่วมกับต่างชาติเพื่อเข้ามาช่วยจัดการระบบสาธารณสุขให้สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อเป็นแนวป้องกันการเคลื่อนย้ายของตัวผู้ป่วยเองสู่การรักษาในประเทศเพื่อนบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เวียดนาม - บราซิลเสริมสร้างความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน



รัฐมนตรีต่างประเทศ Pham Binh Minh

ฮานอย - เวียดนามและบราซิลมีคำมั่นว่าจะเสริมสร้างความประสานงานและสนับสนุนซึ่งกันและกันในการประชุมขององค์การระหว่างประเทศและเวทีพหุภาคีเช่นสหประชาชาติและองค์การการค้าโลก
ประเทศทั้งสองคกลงฉันทามติในระหว่างการให้คำปรึกษาทางการเมืองระหว่างกระทรวงต่างประเทศของทั้งสองฝ่าย โดยประธานรองรัฐมนตรีต่างประเทศ Pham Binh Minh และตัวแทนฝ่ายบราซิล Maria Edileuza Fontenele Reis เมื่อวานนี้
ทั้งสองฝ่ายจะได้ตกลงกันเสร็จสมบูรณ์อย่างทันที เมื่อขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการลงนามในข้อตกลงกรอบการดำเนินงานร่วมทางด้านเทคนิคระหว่างสองรัฐบาลและสร้างกรอบทางกฎหมายสำหรับการดำเนินงานของโครงการความร่วมมือและโครงการลุล่วงในไม่ช้านี้
พวกเขายังตกลงที่จะเพิ่มความเร็วในการเจรจาต่อรองในข้อตกลงร่วมมือในหลายพื้นที่เช่นการเกษตร การหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีสองเท่า ส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนการศึกษา รวมทั้งการฝึกอบรมรวมทั้งเสริมสร้างความประสานงานระหว่างกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการสำหรับการประชุมครั้งต่อไป ของเวียดนามบราซิลคณะกรรมการร่วมกำหนดให้มีขึ้นในปีถัดไปฮานอย
เนื่องจากเวียดนามและบราซิลก่อตั้งคึวามเป็นหุ้นส่วนของของพวกเขาตั้งแต่ พฤษภาคม 2007 การค้าสองทางได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกับอัตราการขยายตัวต่อปีร้อยละ 30-40 และคาดว่าจะถึง US $ 800 ล้านปีนี้ -- VNS

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รัฐบาลกัมพูชามองการปล่อยนาง "ออง ซาน ซุจี " ในแง่ดี



การพรรณนากิจกรรมต่างๆในพม่าอย่างล่าช้าในกรณี นางออง ซาน ซุจี ระหว่างการประท้วงด้านนอกสถานทู๖พม่าที่กรุงเทพฯเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลกัมพูชายินดีกับการปล่อยตัวนางออง ซาน ซูจีจาการกกุมตัวในบริเวณบ้านพัก ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญตามแผนดำเนินการเพื่อประชาธิปไตย 5 ข้อ เพื่อแก้ความยุ่งยากในประเทศ นาย Koy Kuong โฆษกรัฐมนตรีว่ากรกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งการปล่อยตัวนี้รัฐบาลทหารพม่าใช้เป็นเครื่องมือสำคัญของแผนดำเนินการเพื่อประชาธิปไตย7 ข้อ “roadmap to democracy”, เขาพูดว่า 5 ข้อแรกนี้จะนำไปสู้ความรุนแรงและความไม่โป่งใส่ของการเลือกตั้งในวันที่ 7 ทางรัฐบาลทหารพม่าก็ใช้roadmap เป็นเครื่องมือ ตอนนี้พวกเขาได้ใช้แผนดังการเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศ

นางด้วย 65 ปีที่มีเกียรติและรางวัลโนเบล แต่ไม่เห็นเดินฟรีเสาร์หลังจากเจ็ดปีของการจับกุมในย่างกุ้งบ้านเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนที่จะรวมกันในหน้าของการปราบปรามโดยทหารปกครองประเทศ เมื่อวานนี้ที่ส่งเธอมากมายเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานใหญ่ของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของเธอ, การยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเธอเพื่อสิทธิมนุษยชนและทำงานกับกองกำลังประชาธิปไตยทุกคน"ในประเทศ "กรุณาเก็บพลังงานของคุณสำหรับเรา ถ้าเราทำงานร่วมกันเราจะบรรลุเป้าหมายของเรา"เธอกล่าวว่า

ที่ผู้สังเกตการณ์ ในประเทศอื่น ๆ บอกว่าการปล่อยซูจีเป็นก้าวสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคและอื่น ๆ คำเตือนให้กับระบบการปกครองเครดิตมากเกินไปสำหรับสิ่งที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นวิธีการสาธารณะ - ความสัมพันธ์"เราชมการเปิดตัวของซูจีและคิดว่ามันไม่เพียง แต่สะท้อนให้เห็นได้ดีในพม่า แต่สะท้อนให้เห็นได้ดีในทุกประเทศในอาเซียน,นาย "ย่งกิมเอ็ง, ประธานของประชาชนศูนย์เพื่อการพัฒนาและสันติภาพกล่าว.... นาย Koul Panha, กรรมการบริหารของผลแสดงผลการเลือกตั้งท้องถิ่น Comfrel กล่าวว่าการปลดปล่อยซูจีก่อนหน้านี้สามารถตั้งค่าเพื่อผลตอบแทนที่การเจรจาต่อรองของผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา นาย Sam Rainsy, ขณะนี้อาศัยอยู่ในต่างประเทศ

นาย Sam Rainsy ได้รับการพิพากษาจำคุก 12 ปี'ในชุดของค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากแคมเปญของเขาเพื่อแสดง การบุกรุกแดนเวียดนามที่ถูกกล่าวหา

"ปัญหาอื่น ๆ อาจจะยังคงเกิดขึ้นกับซูจี แต่ปล่อยเธอแสดงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของบุคคลทางการเมืองในพม่าได้แสดงออกทางการเมืองที่จะมีแข่งขันที่เป็นธรรมกับผู้นำฝ่ายค้าน"เขากล่าวว่า

"ผมหวังว่านักการเมืองกัมพูชาจะได้เรียนรู้จากประเทศพม่าและปูทางสำหรับผู้นำฝ่ายค้าน Sam Rain sy เพื่อกลับมา."

นาย Pung Chhiv Kek ประธานของท้องถิ่นกลุ่มสิทธิ Licadho, เตือนกับพม่า --"อาจจะเลวร้ายที่สุด"ในภูมิภาคในแง่ของประชาธิปไตยและเสรีภาพทางการเมือง -- ถูกมองว่าเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ส่วนที่เหลือของอาเซียน

"มันเป็นคำถามลึกรบกวนที่อาจเกิดขึ้นในตัวอย่างที่เป็นไปได้ที่กำหนดโดยประเทศสำหรับประเทศอาเซียนอื่น ๆ รวมถึงประเทศกัมพูชานี้"เธอกล่าวเมื่อวานนี้ชี้ไปที่ความเป็นจริงที่ - นักโทษทางการเมือง2,200กว่าคนยังคงถูกคุมขัง ผมขอหวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าไม่ได้และจะไม่เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา."การพูดทางโทรศัพท์เมื่อวานนี้จาก Paris, Sam Rainsy ยินดีปล่อยซูจี แต่ เปรียบเทียบระหว่างสถานการณ์ของเขาและของผู้นำ NLD ผมมั่นใจว่านี่คือขั้นตอนที่จะผลักดันให้อิสระมากขึ้นต่อประชาธิปไตยที่แท้จริงในพม่า"เขากล่าวโดยใช้ชื่อเดิมของประเทศ

ประธาน Sam Rainsy พรรคเห็นด้วยกับการสังเกตการณ์ในประเทศที่ปล่อยยังสามารถเป็นตัวอย่างสำหรับประเทศกัมพูชาในการเคารพสิทธิของทหารฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

“ "มีแนวโน้มในโลกนี้และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นและกัมพูชาน้อยเกินไปและอ่อนแอประเทศที่จะไปกับแนวโน้มนี้"เขากล่าวว่า

นาย Koy Kuong ยังปฏิเสธการเปรียบเทียบระหว่างผู้นำทั้งสองได้กล่าวว่านางซูจีได้เปิดตัวหลังจากที่ให้ประโยคของเธอในขณะที่ นาย Sam Rainsy แล้วยังให้บริการระยะคุกของเขาเอง

"ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายให้ได้"เขากล่าวว่า

ขณะที่สมาชิกของชุมชนพม่าในกรุงพนมเปญพวกเขาไม่แน่ใจที่รัฐบาลทหารปล่อยนางซูจี นาย Soe, 25, กล่าวว่าเขา"มีความสุขมาก"ที่เธอได้รับการปลดปล่อยหลังจากถูกกักขัง 21 ปี "ฉันสามารถเห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นในอารมณ์ตอนนี้ที่เธอถูกปล่อย." เขากล่าวว่า ..เขากลัวความปลอดภัยของซูจี, ระลึกถึงรัฐบาลทหารที่สังหารหมู่ซึ่งในการสนับสนุนขบวนเรือสินค้าของผู้นำในเดือนพฤษภาคมปี 2003 และลอบฆ่าผู้สนับสนุนพรรค NLD กว่า 70 คน

ระยะปัจจุบันนางซูจีถูกจับกุมบ้านที่เริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปนี้แปลกที่คนอเมริกันว่ายน้ำเพื่อไปบ้านริมทะเลสาบของเธอในกรุงย่างกุ้ง ในเดือนสิงหาคมศาลที่เมืองฉาวโฉ่ ที่พบความผิดของการละเมิดข้อตกลงของการจับกุมบ้านของเธอและพิพากษาให้เธอ'คุกและแรงงานหนัก, รัฐบาลทหารการลงโทษถึง 18 เดือน เจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชากล่าวว่า...ประโยคได้ลงนามในรัฐบาลทหารก็คือ"ในทางที่จะเป็นประชาธิปไตย" กัมพูชาได้เข้าร่วมกับประเทศตะวันตกและเอเชียว่ายินดีกับการปล่อยนางซูจีเมื่อวานนี้

กลุ่มสิทธิมนุษยชนนานาชาติแต่ได้รับการสงสัยในการปล่อย, การอธิบายมันเป็นวิธีการ deflecting ความสนใจจากการเลือกตั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว, วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นความหลอกลวงเพื่อยึดที่มั่นภายใต้การปกครองโดยทหารของรัฐบาลพลเรือน

“ลาว” ผนึกสิงคโปร์ร่วมแผนพัฒนาการท่องเที่ยว



การท่องเที่ยวแห่งสิงคโปร์จับมือกับทางการลาวผ่านข้อตกลงว่าด้วยการท่องเที่ยวที่กรุงเวียงจันทน์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นครั้งแรกของการเดินทางทางมาทำข้อตกลงกันระหว่างทั้งสองฝ่าย โดย Robert Khoo C.H. แห่งสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวแห่งสิงคโปร์เผยว่า การตกลงในครั้งนี้เป็นที่คาดหวังว่าจะนำไปสู่การร่วมมือกันทางการท่องเที่ยวระหว่างเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

ข้อเสนอกว่า 30 เรื่องถูกเสนอในที่ประชุมภายใต้เป้าหมายแห่งการพัฒนาการท่องเที่ยวลาวปี 2011-2015 แผน 4 ปีนี้ได้วางกรอบให้ลาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อความผาสุกทางธรรมชาติ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ซึ่งจะทำให้ลาวเป็นเป้าหมายแห่งใหม่ของนักเดินทาง

จากข้อมูลปี 2009 ระบุว่า นักท่องเที่ยวสิงคโปร์มาเที่ยวในประเทศลาวประมาณ 5,000 คนต่อปี นับเป็นร้อยละ 0.25 ของนักท่องเที่ยวประมาณ 2,000,000 คนต่อปี และเป็นตัวเลขที่เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 9 ของนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ที่มาเยือนประเทศลาวในปีที่แล้ว(2008)

สองพรรคชาติพันธุ์เตรียมเข้าสภาพม่า หวังเรียกร้องความเป็นอยู่ชาติพันธุ์



รัฐสภาแห่งใหม่กลางกรุงเนปิดอว์ ที่กำลังจะได้ใช้ในสักวันหนึ่งของปีหน้าตามรัฐธรรมนูญ

 
แม้ว่าการเปิดสภาครั้งแรกของรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นช่วงใดช่วงหนึ่งของปีหน้า โดยมีผู้นำรัฐบาลคือพรรค USDP ที่รัฐบาลทหารหนุนหลัง ที่มีคะแนนเป็นอันดับที่ 1 ของการเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยที่มีพรรค NUP ของนายพลเนวินตามมาเป็นอันดับที่สอง

ในขณะที่พรรค UDF ที่เป็นหน่อของพรรค NLD เดิมนั้นได้ที่นั่งในสภาเพียง 16 ที่นั่งเช่นเดียวกับพรรค AMDP ของกลุ่มชาติพันธุ์มอญ อันเกิดมาจากแนวนโยบายที่สวนทางกันระหว่างพรรคใหม่กับนางอองซาน ซูจีที่ประกาศคว่ำบาตรในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ผลดังกล่าวทำให้พรรคการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ หรือพรรค SNDP และพรรคของกลุ่มชาติพันธุ์ยะไข่ หรือพรรค RNDP ได้รับคะแนนเสียงตามมาเป็นที่ 3 และ 4 ตามลำดับ โดยที่ทั้งสองพรรคยืนยันจะเข้าร่วมในสภาใหม่ของพม่าในช่วงปีหน้าอย่างแน่นอน

Sai Aik Pao ประธานพรรค USDP ซึ่งครองที่นั่งในสภา 57 จากพันกว่าที่นั่ง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Irrawaddy ว่าพรรคของเขาจะเข้าร่วมประชุมสภาแน่นอนไม่ว่าพรรคใดจะคว่ำบาตรก็ตาม เราจะใช้เวทีสภาให้เป็นประโยชน์ต่อการเสนอแนวความคิดเห็นเพื่อการดำรงชีวิตต่อไปของชาวรัฐฉาน และเมื่อถามถึงการร้องเรียนความโปร่งใสของพรรค USDP ซึ่งกวาดคะแนนเสียงเกือบ 80% ของที่นั่งทั้งหมด Sai Aik Pao กล่าวว่าเขาไม่มีแผนในเรื่องนี้เพราะการยื่นเรื่องนั้นต้องเสียเงิน 1,000,000 จั๊ด หรือประมาณ 1,150 US ต่อเรื่อง ซึ่งเขาจะไม่เสียเวลาและเงินจำนวนดังกล่าวเด็ดขาด

ในขณะที่พรรค RNDP ที่มีฐานเสียงอยู่ในรัฐอาระกัน ซึ่งจะเดินหน้าสู่สภาในปีหน้าเช่นเดียวกัน เปิดเผยกับ The Irrawaddy ว่าพรรคจะใช้สภาเพื่อเดินนโยบายเพื่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านในรัฐอาระกันเช่นกัน โดยที่ทางพรรคได้เก็บหลักฐานการโกงการเลือกตั้งของพรรค USDP ไว้เรียบร้อยแล้วและจะส่งเรื่องเมื่อรวบรวมหลักฐานเสร็จสิ้น

ในขณะที่พรรคของกลุ่มชาติพันธุ์มอญ (AMDP) ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 16 ที่นั่งนั่นประกาศรอดูท่าทีของพรรคอื่นก่อน “ถ้าพรรคอื่นคว่ำบาตร เราจะทำตาม” และเชื่อว่าการร้องเรียนความไม่โปร่งใสในการเลือกตั้งนั้นจะไม่เป็นผลใดๆทั้งสิ้นเพราะทั้งหมดรัฐบาลทหารได้สร้างทุกอย่างไว้หมดแล้ว

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประชาธิปไตยสไตล์อุษาคเนย์

จอมพล ดาวสุโข

            บทนำ
            บทความ “ประชาธิปไตยสไตล์อุษาคเนย์” มีเป้าประสงค์ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ทางการเมืองที่โดดเด่นและคล้ายคลึงกันที่ปรากฏในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในรัฐที่กล่าวว่าตนเองนั้นนิยมปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจในการปกครองในรูปแบบดังกล่าว คือนัยยะที่แอบแฝงผ่านกลไกและกติกาที่เพี้ยนไปจากประชาธิปไตยในรูปแบบที่ควรจะเป็น อันมีไว้ซึ่งการรักษาอำนาจนำของชนชั้นปกครองที่มีฐานอำนาจดั้งเดิมเป็นเวลายาวนาน

            ท่าทีของรัฐบาลทหารพม่าที่มีต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ค่อนข้างชัดเจนและเปิดเผยว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายแฝงที่สำคัญ คือ การดำรงไว้ซึ่งอำนาจของคณะทหารที่ปกครองประเทศมาเกือบครึ่งศตวรรษ ผ่านการเลือกตั้งที่ดำรงความชอบธรรมผ่านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ถูร่างขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้า และเพื่อประกอบคำอธิบายถึง Road Map 7 ขั้นที่รัฐบาลทหารอ้างว่าจะนำพม่าสู่ประชาธิปไตย

            นักวิเคราะห์และผู้ติดตามอย่างใกล้ชิดมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกวางยาไม่ให้นำวิถีสู่ประชาธิปไตยมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ผ่านความชอบธรรมในการเข้ามาของทหารในสภาต่างๆผ่านโควต้า 25% รวมทั้งสภาความมั่นคงที่อาจจะยกแผงมาจากสภาเพื่อความมั่นคงและการพัฒนาแห่งรัฐ(SPDC) ทั้งนี้ยังไม่รวมคะแนนเสียงของพรรคนอมินีทหารที่นำโดยนายพลเต่งเส็ง นายกรัฐมนตรี ที่ออกจากเครื่องแบบทหารมานุ่งโสร่ง ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคสหภาพแห่งความสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party : USDP) ซึ่งเป็นพรรคที่ส่งผู้สมัครมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ และคาดว่าผลการเลือกตั้งพรรคนี้ก็จะได้คะแนนเสียงนำพรรคอื่นๆจากฐานเสียงที่รัฐบาลทหารได้สร้างไว้จากเครือข่าย USDA ซึ่งเป็นเครือข่ายเดิมก่อนการตั้งพรรค USDP
ธงชาติของประเทศ “สาธารณรัฐสหภาพพม่า” ที่ถูกเปลี่ยนแปลงใหม่พร้อมทั้งชื่อประเทศ เพื่อลดสัญลักษณ์ความเป็นหลากหลายลงไป และเพิ่มความเป็นหนึ่งเดียวของรัฐ (ภาพจาก Globalgrind.com)

            ในขณะที่การเปลี่ยนสัญลักษณ์และชื่อประเทศของพม่าที่ปรับรูปแบบจากความเป็นสังคมนิยมผ่านฟันเฟืองและต้นข้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนั้น ผู้มีอำนาจนำในพม่าเองก็ยังคงสอดแทรกด้วยประเด็นความเป็นเอกภาพที่ขัดแย้งกันเองกับลักษณะทางกายภาพของประเทศอันประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย จนอาจนำไปสู่ “ข้ออ้าง” ในการปราบปรามชนกลุ่มน้อยที่อาจมีมากยิ่งขึ้นหลัง (นอมินี)“รัฐบาลทหาร” ได้รับอำนาจอันชอบธรรมจากการเลือกตั้ง

            ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะที่มีความคล้ายคลึงกันกับประเทศไทย ที่บทบาทของกองทัพยังคงมีความสำคัญต่อการเมืองมาตลอด ผ่านการรัฐประหาร หรือการครอบงำรัฐบาลในยุคต่างๆ ดังที่ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริได้มองไว้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศไทยและพม่านั้นไม่มีความแตกต่างเท่าใดนัก มิหนำซ้ำทหารในการปกครองระบอบประชาธิปไตยไทยยังยาวนานกว่าพม่าเสียอีก(นับตั้งแต่ พ..2490) เพียงแต่การเข้ามามีบทบาททางการเมืองของทหารไทยนั้นแนบเนียนกว่าทหารพม่า ยังไม่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศที่มีเป้าประสงค์คล้ายคลึงกันอีกด้วย

            “อินโดนีเซีย” ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความชัดเจนในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีรูปแบบพิเศษ แม้ปัจจุบันอินโดนีเซียจะมีการเปลี่ยนแปลงและพยายามก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยตามเป้าประสงค์ที่แท้จริงแล้วก็ตาม(ซึ่งก็ต้องติดตามตอนต่อไป)

ประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซีย ผู้นำระบอบ “ประชาธิปไตยนำวิถี” เพื่อเสริมอำนาจทางการเมืองของตน (ภาพจาก nndb.com)

            “ประชาธิปไตยนำวิถี”(Guided Democracy) เป็นระบอบประชาธิปไตยในยุคหนึ่งที่บริหารประเทศโดยประธานาธิบดีซูการ์โนของประเทศอินโดนีเซีย อันเป็นเหตุมาจากความเข็มแข็งของกองทัพที่มีเกียรติภูมิสูงจากการปราบปรามจลาจลที่แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกทางการเมืองหลังได้รับการปลดปล่อยจากมหาอำนาจฮอลันดาในช่วงทศวรรษ 1950 ที่สามารถปราบปรามการจลาจลโดยไม่เสียเลือดเนื้อ พร้อมทั้งขับไล่และยึดครองห้างร้านของชาวฮอลันดา ทำให้ชาวพื้นเมืองนิยมชมชอบ แน่นอนว่าเกียรติภูมิของทหารเหล่านั้นได้ถูกนำมาปูทางสู่ความใกล้ชิดศูนย์อำนาจทางการเมืองมากยิ่งขึ้น พร้อมๆกับการก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีซูการ์โน ที่มีท่าทีไม่นิยมการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย ซูการ์โนใช้วิธีการถ่วงดุลกับกองทัพเพื่อร่วมกันสร้างความเข็มแข็ง และดำเนินนโยบาย “ประชาธิปไตยนำวิถี” ที่เปรียบประธานาธิบดีเป็นบิดา และประชาชนเป็นบุตรที่ต้องเชื่อฟังผู้ปกครองในระบบครอบครัว วิถีทางดังกล่าวได้นำมาใช้ในการปราบปรามพรรคการเมืองปฏิปักษ์ผ่านคำอ้างว่าเป็นภัยต่อความสามัคคีของคนในชาติ

            ลักษณะของการพยายามสร้างและเรียกตัวเองให้เป็นประชาธิปไตยโดยสอดไส้และหมกเม็ดข้อแม้ไว้ในบางประเด็นเพื่อรักษาอำนาจเดิมของตนเองและพวกพ้อง เช่นความพยายามในการเป็นประชาธิปไตยโดยรัฐบาลทหารพม่า ยังคงปรากฏอยู่ในอีกหลายประเทศในอุษาคเนย์ที่เรียกตัวเองว่าประเทศประชาธิปไตยแต่ยังคงไว้ซึ่งผู้มีอำนาจนำเหนืออธิปไตยของปวงชน และนำมาสู่คำอธิบายว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของประเทศนั้นๆ เช่น “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” และ/หรือ “ประชาธิปไตยแบบพม่าๆ” ที่อาจเป็นคำอธิบายที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง รวมทั้งประชาธิปไตยแบบ “อินโดๆ” หรือประเทศอื่นๆที่ปรากฏในลักษณะเดียวกัน

            ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งอุดมไปด้วยแหล่งวัตถุดิบนอกจากได้ทำให้ชาวตะวันตกสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวผ่านพ่อค้าคนกลางได้แล้ว ยังทำให้ผู้มีอำนาจนำใต้ปีกมหาอำนาจร่ำรวยในฐานะ “นายหน้า” อีกด้วย ผู้เขียนเชื่อว่ากระบวนการรักษาอำนาจของกลุ่มผู้มีอำนาจนำนั้นเกิดขึ้นมาจากช่วงสมัยการปลดปล่อยอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก เมื่อพลังคุ้มครองที่ทำให้ความมั่นคงและมั่งคั่งของชนชั้นปกครองเดิมที่เคยถูกรักษาไว้ใต้ปีกชาติตะวันตกนั้นต้องมลายลง ทำให้ผู้มีอำนาจต้องรักษาอำนาจผ่านทุกช่องทางที่เขาทำได้ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประชาชนชาวพื้นเมืองหรือชาติตะวันตกยอมรับ เพื่อคงอำนาจและผลประโยชน์ของตนเองในประเทศ ผ่านกติกาความเป็น “ประชาธิปไตย” ที่สามารถเป็นข้ออ้างให้กลุ่มประเทศโลกเสรีใหม่ให้การยอมรับ รวมทั้ง “ประชาธิปไตย” นั้นก็เป็นคำศัพท์ที่สวยในมุมมองของผู้ปกครองที่เชื่อว่าความคิดและคะแนนเสียงของตนนั้นจะมีความสำคัญต่อก้าวต่อไปของประเทศ

            อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้เริ่มได้กลิ่นถึงความไม่ชอบมาพากลของการปกครองที่มีความหมกเม็ดซ่อนอยู่ใน “Democracy” อันสวยหรู จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทักท้วง ประท้วง และลุกฮือต่อต้านชนชั้นอำนาจเดิม ซึ่งท้ายสุดก็จะมีจุดจบที่แตกต่างกัน อาจจะเป็นชัยชนะของประชาชนสู่การเริ่มต้นประชาธิปไตยในรูปแบบใหม่ ที่อาจวนกลับมาสู่ภาวะเดิม หรืออาจจะเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง หรือผู้ชุมนุมประท้วงเหล่านั้นอาจถูกปราบปรามอย่างสาหัส ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดเผยทาสแท้ของชนชั้นนำทางอำนาจว่าตนเองมีความเป็นประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด

            บทสรุป
            แม้ว่าในภูมิภาคอุษาคเนย์ยังคงปรากฏลักษณะประชาธิปไตยในรูปแบบพิเศษ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยหมกเม็ดและมิได้เดินไปตามเป้าประสงค์ของประชาธิปไตยที่หวังว่า “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” ในหลายประเทศเช่นเดียวกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและประสบชะตากรรมในรูปแบบคล้ายๆกันเป็นเบื้องหลัง แต่กระนั้นผู้เขียนยังมีความเชื่ออย่างยิ่งว่า ความพยายามรักษาอำนาจของชนชั้นนำเดิมนั้นจะไม่คงทนถาวร ถ้าชนชั้นนำเหล่านั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ในสังคม ชนชั้นเดิมก็ไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมตามมา ผู้เขียนเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกล้วนไม่คงทนถาวร การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นนิรันดร์กว่าสิ่งอื่นใด จึงขึ้นอยู่กับว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึ้นกับอะไร เพื่อให้คนในสังคมยอมรับและเดินหน้าไปในระบอบประชาธิปไตยพร้อมกัน