วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เวียดนาม - บราซิลเสริมสร้างความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน



รัฐมนตรีต่างประเทศ Pham Binh Minh

ฮานอย - เวียดนามและบราซิลมีคำมั่นว่าจะเสริมสร้างความประสานงานและสนับสนุนซึ่งกันและกันในการประชุมขององค์การระหว่างประเทศและเวทีพหุภาคีเช่นสหประชาชาติและองค์การการค้าโลก
ประเทศทั้งสองคกลงฉันทามติในระหว่างการให้คำปรึกษาทางการเมืองระหว่างกระทรวงต่างประเทศของทั้งสองฝ่าย โดยประธานรองรัฐมนตรีต่างประเทศ Pham Binh Minh และตัวแทนฝ่ายบราซิล Maria Edileuza Fontenele Reis เมื่อวานนี้
ทั้งสองฝ่ายจะได้ตกลงกันเสร็จสมบูรณ์อย่างทันที เมื่อขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการลงนามในข้อตกลงกรอบการดำเนินงานร่วมทางด้านเทคนิคระหว่างสองรัฐบาลและสร้างกรอบทางกฎหมายสำหรับการดำเนินงานของโครงการความร่วมมือและโครงการลุล่วงในไม่ช้านี้
พวกเขายังตกลงที่จะเพิ่มความเร็วในการเจรจาต่อรองในข้อตกลงร่วมมือในหลายพื้นที่เช่นการเกษตร การหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีสองเท่า ส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนการศึกษา รวมทั้งการฝึกอบรมรวมทั้งเสริมสร้างความประสานงานระหว่างกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการสำหรับการประชุมครั้งต่อไป ของเวียดนามบราซิลคณะกรรมการร่วมกำหนดให้มีขึ้นในปีถัดไปฮานอย
เนื่องจากเวียดนามและบราซิลก่อตั้งคึวามเป็นหุ้นส่วนของของพวกเขาตั้งแต่ พฤษภาคม 2007 การค้าสองทางได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกับอัตราการขยายตัวต่อปีร้อยละ 30-40 และคาดว่าจะถึง US $ 800 ล้านปีนี้ -- VNS

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รัฐบาลกัมพูชามองการปล่อยนาง "ออง ซาน ซุจี " ในแง่ดี



การพรรณนากิจกรรมต่างๆในพม่าอย่างล่าช้าในกรณี นางออง ซาน ซุจี ระหว่างการประท้วงด้านนอกสถานทู๖พม่าที่กรุงเทพฯเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลกัมพูชายินดีกับการปล่อยตัวนางออง ซาน ซูจีจาการกกุมตัวในบริเวณบ้านพัก ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญตามแผนดำเนินการเพื่อประชาธิปไตย 5 ข้อ เพื่อแก้ความยุ่งยากในประเทศ นาย Koy Kuong โฆษกรัฐมนตรีว่ากรกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งการปล่อยตัวนี้รัฐบาลทหารพม่าใช้เป็นเครื่องมือสำคัญของแผนดำเนินการเพื่อประชาธิปไตย7 ข้อ “roadmap to democracy”, เขาพูดว่า 5 ข้อแรกนี้จะนำไปสู้ความรุนแรงและความไม่โป่งใส่ของการเลือกตั้งในวันที่ 7 ทางรัฐบาลทหารพม่าก็ใช้roadmap เป็นเครื่องมือ ตอนนี้พวกเขาได้ใช้แผนดังการเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศ

นางด้วย 65 ปีที่มีเกียรติและรางวัลโนเบล แต่ไม่เห็นเดินฟรีเสาร์หลังจากเจ็ดปีของการจับกุมในย่างกุ้งบ้านเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนที่จะรวมกันในหน้าของการปราบปรามโดยทหารปกครองประเทศ เมื่อวานนี้ที่ส่งเธอมากมายเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานใหญ่ของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของเธอ, การยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเธอเพื่อสิทธิมนุษยชนและทำงานกับกองกำลังประชาธิปไตยทุกคน"ในประเทศ "กรุณาเก็บพลังงานของคุณสำหรับเรา ถ้าเราทำงานร่วมกันเราจะบรรลุเป้าหมายของเรา"เธอกล่าวว่า

ที่ผู้สังเกตการณ์ ในประเทศอื่น ๆ บอกว่าการปล่อยซูจีเป็นก้าวสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคและอื่น ๆ คำเตือนให้กับระบบการปกครองเครดิตมากเกินไปสำหรับสิ่งที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นวิธีการสาธารณะ - ความสัมพันธ์"เราชมการเปิดตัวของซูจีและคิดว่ามันไม่เพียง แต่สะท้อนให้เห็นได้ดีในพม่า แต่สะท้อนให้เห็นได้ดีในทุกประเทศในอาเซียน,นาย "ย่งกิมเอ็ง, ประธานของประชาชนศูนย์เพื่อการพัฒนาและสันติภาพกล่าว.... นาย Koul Panha, กรรมการบริหารของผลแสดงผลการเลือกตั้งท้องถิ่น Comfrel กล่าวว่าการปลดปล่อยซูจีก่อนหน้านี้สามารถตั้งค่าเพื่อผลตอบแทนที่การเจรจาต่อรองของผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา นาย Sam Rainsy, ขณะนี้อาศัยอยู่ในต่างประเทศ

นาย Sam Rainsy ได้รับการพิพากษาจำคุก 12 ปี'ในชุดของค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากแคมเปญของเขาเพื่อแสดง การบุกรุกแดนเวียดนามที่ถูกกล่าวหา

"ปัญหาอื่น ๆ อาจจะยังคงเกิดขึ้นกับซูจี แต่ปล่อยเธอแสดงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของบุคคลทางการเมืองในพม่าได้แสดงออกทางการเมืองที่จะมีแข่งขันที่เป็นธรรมกับผู้นำฝ่ายค้าน"เขากล่าวว่า

"ผมหวังว่านักการเมืองกัมพูชาจะได้เรียนรู้จากประเทศพม่าและปูทางสำหรับผู้นำฝ่ายค้าน Sam Rain sy เพื่อกลับมา."

นาย Pung Chhiv Kek ประธานของท้องถิ่นกลุ่มสิทธิ Licadho, เตือนกับพม่า --"อาจจะเลวร้ายที่สุด"ในภูมิภาคในแง่ของประชาธิปไตยและเสรีภาพทางการเมือง -- ถูกมองว่าเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ส่วนที่เหลือของอาเซียน

"มันเป็นคำถามลึกรบกวนที่อาจเกิดขึ้นในตัวอย่างที่เป็นไปได้ที่กำหนดโดยประเทศสำหรับประเทศอาเซียนอื่น ๆ รวมถึงประเทศกัมพูชานี้"เธอกล่าวเมื่อวานนี้ชี้ไปที่ความเป็นจริงที่ - นักโทษทางการเมือง2,200กว่าคนยังคงถูกคุมขัง ผมขอหวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าไม่ได้และจะไม่เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา."การพูดทางโทรศัพท์เมื่อวานนี้จาก Paris, Sam Rainsy ยินดีปล่อยซูจี แต่ เปรียบเทียบระหว่างสถานการณ์ของเขาและของผู้นำ NLD ผมมั่นใจว่านี่คือขั้นตอนที่จะผลักดันให้อิสระมากขึ้นต่อประชาธิปไตยที่แท้จริงในพม่า"เขากล่าวโดยใช้ชื่อเดิมของประเทศ

ประธาน Sam Rainsy พรรคเห็นด้วยกับการสังเกตการณ์ในประเทศที่ปล่อยยังสามารถเป็นตัวอย่างสำหรับประเทศกัมพูชาในการเคารพสิทธิของทหารฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

“ "มีแนวโน้มในโลกนี้และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นและกัมพูชาน้อยเกินไปและอ่อนแอประเทศที่จะไปกับแนวโน้มนี้"เขากล่าวว่า

นาย Koy Kuong ยังปฏิเสธการเปรียบเทียบระหว่างผู้นำทั้งสองได้กล่าวว่านางซูจีได้เปิดตัวหลังจากที่ให้ประโยคของเธอในขณะที่ นาย Sam Rainsy แล้วยังให้บริการระยะคุกของเขาเอง

"ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายให้ได้"เขากล่าวว่า

ขณะที่สมาชิกของชุมชนพม่าในกรุงพนมเปญพวกเขาไม่แน่ใจที่รัฐบาลทหารปล่อยนางซูจี นาย Soe, 25, กล่าวว่าเขา"มีความสุขมาก"ที่เธอได้รับการปลดปล่อยหลังจากถูกกักขัง 21 ปี "ฉันสามารถเห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นในอารมณ์ตอนนี้ที่เธอถูกปล่อย." เขากล่าวว่า ..เขากลัวความปลอดภัยของซูจี, ระลึกถึงรัฐบาลทหารที่สังหารหมู่ซึ่งในการสนับสนุนขบวนเรือสินค้าของผู้นำในเดือนพฤษภาคมปี 2003 และลอบฆ่าผู้สนับสนุนพรรค NLD กว่า 70 คน

ระยะปัจจุบันนางซูจีถูกจับกุมบ้านที่เริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปนี้แปลกที่คนอเมริกันว่ายน้ำเพื่อไปบ้านริมทะเลสาบของเธอในกรุงย่างกุ้ง ในเดือนสิงหาคมศาลที่เมืองฉาวโฉ่ ที่พบความผิดของการละเมิดข้อตกลงของการจับกุมบ้านของเธอและพิพากษาให้เธอ'คุกและแรงงานหนัก, รัฐบาลทหารการลงโทษถึง 18 เดือน เจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชากล่าวว่า...ประโยคได้ลงนามในรัฐบาลทหารก็คือ"ในทางที่จะเป็นประชาธิปไตย" กัมพูชาได้เข้าร่วมกับประเทศตะวันตกและเอเชียว่ายินดีกับการปล่อยนางซูจีเมื่อวานนี้

กลุ่มสิทธิมนุษยชนนานาชาติแต่ได้รับการสงสัยในการปล่อย, การอธิบายมันเป็นวิธีการ deflecting ความสนใจจากการเลือกตั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว, วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นความหลอกลวงเพื่อยึดที่มั่นภายใต้การปกครองโดยทหารของรัฐบาลพลเรือน

“ลาว” ผนึกสิงคโปร์ร่วมแผนพัฒนาการท่องเที่ยว



การท่องเที่ยวแห่งสิงคโปร์จับมือกับทางการลาวผ่านข้อตกลงว่าด้วยการท่องเที่ยวที่กรุงเวียงจันทน์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นครั้งแรกของการเดินทางทางมาทำข้อตกลงกันระหว่างทั้งสองฝ่าย โดย Robert Khoo C.H. แห่งสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวแห่งสิงคโปร์เผยว่า การตกลงในครั้งนี้เป็นที่คาดหวังว่าจะนำไปสู่การร่วมมือกันทางการท่องเที่ยวระหว่างเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

ข้อเสนอกว่า 30 เรื่องถูกเสนอในที่ประชุมภายใต้เป้าหมายแห่งการพัฒนาการท่องเที่ยวลาวปี 2011-2015 แผน 4 ปีนี้ได้วางกรอบให้ลาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อความผาสุกทางธรรมชาติ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ซึ่งจะทำให้ลาวเป็นเป้าหมายแห่งใหม่ของนักเดินทาง

จากข้อมูลปี 2009 ระบุว่า นักท่องเที่ยวสิงคโปร์มาเที่ยวในประเทศลาวประมาณ 5,000 คนต่อปี นับเป็นร้อยละ 0.25 ของนักท่องเที่ยวประมาณ 2,000,000 คนต่อปี และเป็นตัวเลขที่เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 9 ของนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ที่มาเยือนประเทศลาวในปีที่แล้ว(2008)

สองพรรคชาติพันธุ์เตรียมเข้าสภาพม่า หวังเรียกร้องความเป็นอยู่ชาติพันธุ์



รัฐสภาแห่งใหม่กลางกรุงเนปิดอว์ ที่กำลังจะได้ใช้ในสักวันหนึ่งของปีหน้าตามรัฐธรรมนูญ

 
แม้ว่าการเปิดสภาครั้งแรกของรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นช่วงใดช่วงหนึ่งของปีหน้า โดยมีผู้นำรัฐบาลคือพรรค USDP ที่รัฐบาลทหารหนุนหลัง ที่มีคะแนนเป็นอันดับที่ 1 ของการเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยที่มีพรรค NUP ของนายพลเนวินตามมาเป็นอันดับที่สอง

ในขณะที่พรรค UDF ที่เป็นหน่อของพรรค NLD เดิมนั้นได้ที่นั่งในสภาเพียง 16 ที่นั่งเช่นเดียวกับพรรค AMDP ของกลุ่มชาติพันธุ์มอญ อันเกิดมาจากแนวนโยบายที่สวนทางกันระหว่างพรรคใหม่กับนางอองซาน ซูจีที่ประกาศคว่ำบาตรในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ผลดังกล่าวทำให้พรรคการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ หรือพรรค SNDP และพรรคของกลุ่มชาติพันธุ์ยะไข่ หรือพรรค RNDP ได้รับคะแนนเสียงตามมาเป็นที่ 3 และ 4 ตามลำดับ โดยที่ทั้งสองพรรคยืนยันจะเข้าร่วมในสภาใหม่ของพม่าในช่วงปีหน้าอย่างแน่นอน

Sai Aik Pao ประธานพรรค USDP ซึ่งครองที่นั่งในสภา 57 จากพันกว่าที่นั่ง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Irrawaddy ว่าพรรคของเขาจะเข้าร่วมประชุมสภาแน่นอนไม่ว่าพรรคใดจะคว่ำบาตรก็ตาม เราจะใช้เวทีสภาให้เป็นประโยชน์ต่อการเสนอแนวความคิดเห็นเพื่อการดำรงชีวิตต่อไปของชาวรัฐฉาน และเมื่อถามถึงการร้องเรียนความโปร่งใสของพรรค USDP ซึ่งกวาดคะแนนเสียงเกือบ 80% ของที่นั่งทั้งหมด Sai Aik Pao กล่าวว่าเขาไม่มีแผนในเรื่องนี้เพราะการยื่นเรื่องนั้นต้องเสียเงิน 1,000,000 จั๊ด หรือประมาณ 1,150 US ต่อเรื่อง ซึ่งเขาจะไม่เสียเวลาและเงินจำนวนดังกล่าวเด็ดขาด

ในขณะที่พรรค RNDP ที่มีฐานเสียงอยู่ในรัฐอาระกัน ซึ่งจะเดินหน้าสู่สภาในปีหน้าเช่นเดียวกัน เปิดเผยกับ The Irrawaddy ว่าพรรคจะใช้สภาเพื่อเดินนโยบายเพื่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านในรัฐอาระกันเช่นกัน โดยที่ทางพรรคได้เก็บหลักฐานการโกงการเลือกตั้งของพรรค USDP ไว้เรียบร้อยแล้วและจะส่งเรื่องเมื่อรวบรวมหลักฐานเสร็จสิ้น

ในขณะที่พรรคของกลุ่มชาติพันธุ์มอญ (AMDP) ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 16 ที่นั่งนั่นประกาศรอดูท่าทีของพรรคอื่นก่อน “ถ้าพรรคอื่นคว่ำบาตร เราจะทำตาม” และเชื่อว่าการร้องเรียนความไม่โปร่งใสในการเลือกตั้งนั้นจะไม่เป็นผลใดๆทั้งสิ้นเพราะทั้งหมดรัฐบาลทหารได้สร้างทุกอย่างไว้หมดแล้ว

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประชาธิปไตยสไตล์อุษาคเนย์

จอมพล ดาวสุโข

            บทนำ
            บทความ “ประชาธิปไตยสไตล์อุษาคเนย์” มีเป้าประสงค์ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ทางการเมืองที่โดดเด่นและคล้ายคลึงกันที่ปรากฏในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในรัฐที่กล่าวว่าตนเองนั้นนิยมปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจในการปกครองในรูปแบบดังกล่าว คือนัยยะที่แอบแฝงผ่านกลไกและกติกาที่เพี้ยนไปจากประชาธิปไตยในรูปแบบที่ควรจะเป็น อันมีไว้ซึ่งการรักษาอำนาจนำของชนชั้นปกครองที่มีฐานอำนาจดั้งเดิมเป็นเวลายาวนาน

            ท่าทีของรัฐบาลทหารพม่าที่มีต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ค่อนข้างชัดเจนและเปิดเผยว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายแฝงที่สำคัญ คือ การดำรงไว้ซึ่งอำนาจของคณะทหารที่ปกครองประเทศมาเกือบครึ่งศตวรรษ ผ่านการเลือกตั้งที่ดำรงความชอบธรรมผ่านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ถูร่างขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้า และเพื่อประกอบคำอธิบายถึง Road Map 7 ขั้นที่รัฐบาลทหารอ้างว่าจะนำพม่าสู่ประชาธิปไตย

            นักวิเคราะห์และผู้ติดตามอย่างใกล้ชิดมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกวางยาไม่ให้นำวิถีสู่ประชาธิปไตยมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ผ่านความชอบธรรมในการเข้ามาของทหารในสภาต่างๆผ่านโควต้า 25% รวมทั้งสภาความมั่นคงที่อาจจะยกแผงมาจากสภาเพื่อความมั่นคงและการพัฒนาแห่งรัฐ(SPDC) ทั้งนี้ยังไม่รวมคะแนนเสียงของพรรคนอมินีทหารที่นำโดยนายพลเต่งเส็ง นายกรัฐมนตรี ที่ออกจากเครื่องแบบทหารมานุ่งโสร่ง ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคสหภาพแห่งความสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party : USDP) ซึ่งเป็นพรรคที่ส่งผู้สมัครมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ และคาดว่าผลการเลือกตั้งพรรคนี้ก็จะได้คะแนนเสียงนำพรรคอื่นๆจากฐานเสียงที่รัฐบาลทหารได้สร้างไว้จากเครือข่าย USDA ซึ่งเป็นเครือข่ายเดิมก่อนการตั้งพรรค USDP
ธงชาติของประเทศ “สาธารณรัฐสหภาพพม่า” ที่ถูกเปลี่ยนแปลงใหม่พร้อมทั้งชื่อประเทศ เพื่อลดสัญลักษณ์ความเป็นหลากหลายลงไป และเพิ่มความเป็นหนึ่งเดียวของรัฐ (ภาพจาก Globalgrind.com)

            ในขณะที่การเปลี่ยนสัญลักษณ์และชื่อประเทศของพม่าที่ปรับรูปแบบจากความเป็นสังคมนิยมผ่านฟันเฟืองและต้นข้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนั้น ผู้มีอำนาจนำในพม่าเองก็ยังคงสอดแทรกด้วยประเด็นความเป็นเอกภาพที่ขัดแย้งกันเองกับลักษณะทางกายภาพของประเทศอันประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย จนอาจนำไปสู่ “ข้ออ้าง” ในการปราบปรามชนกลุ่มน้อยที่อาจมีมากยิ่งขึ้นหลัง (นอมินี)“รัฐบาลทหาร” ได้รับอำนาจอันชอบธรรมจากการเลือกตั้ง

            ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะที่มีความคล้ายคลึงกันกับประเทศไทย ที่บทบาทของกองทัพยังคงมีความสำคัญต่อการเมืองมาตลอด ผ่านการรัฐประหาร หรือการครอบงำรัฐบาลในยุคต่างๆ ดังที่ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริได้มองไว้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศไทยและพม่านั้นไม่มีความแตกต่างเท่าใดนัก มิหนำซ้ำทหารในการปกครองระบอบประชาธิปไตยไทยยังยาวนานกว่าพม่าเสียอีก(นับตั้งแต่ พ..2490) เพียงแต่การเข้ามามีบทบาททางการเมืองของทหารไทยนั้นแนบเนียนกว่าทหารพม่า ยังไม่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศที่มีเป้าประสงค์คล้ายคลึงกันอีกด้วย

            “อินโดนีเซีย” ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความชัดเจนในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีรูปแบบพิเศษ แม้ปัจจุบันอินโดนีเซียจะมีการเปลี่ยนแปลงและพยายามก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยตามเป้าประสงค์ที่แท้จริงแล้วก็ตาม(ซึ่งก็ต้องติดตามตอนต่อไป)

ประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซีย ผู้นำระบอบ “ประชาธิปไตยนำวิถี” เพื่อเสริมอำนาจทางการเมืองของตน (ภาพจาก nndb.com)

            “ประชาธิปไตยนำวิถี”(Guided Democracy) เป็นระบอบประชาธิปไตยในยุคหนึ่งที่บริหารประเทศโดยประธานาธิบดีซูการ์โนของประเทศอินโดนีเซีย อันเป็นเหตุมาจากความเข็มแข็งของกองทัพที่มีเกียรติภูมิสูงจากการปราบปรามจลาจลที่แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกทางการเมืองหลังได้รับการปลดปล่อยจากมหาอำนาจฮอลันดาในช่วงทศวรรษ 1950 ที่สามารถปราบปรามการจลาจลโดยไม่เสียเลือดเนื้อ พร้อมทั้งขับไล่และยึดครองห้างร้านของชาวฮอลันดา ทำให้ชาวพื้นเมืองนิยมชมชอบ แน่นอนว่าเกียรติภูมิของทหารเหล่านั้นได้ถูกนำมาปูทางสู่ความใกล้ชิดศูนย์อำนาจทางการเมืองมากยิ่งขึ้น พร้อมๆกับการก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีซูการ์โน ที่มีท่าทีไม่นิยมการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย ซูการ์โนใช้วิธีการถ่วงดุลกับกองทัพเพื่อร่วมกันสร้างความเข็มแข็ง และดำเนินนโยบาย “ประชาธิปไตยนำวิถี” ที่เปรียบประธานาธิบดีเป็นบิดา และประชาชนเป็นบุตรที่ต้องเชื่อฟังผู้ปกครองในระบบครอบครัว วิถีทางดังกล่าวได้นำมาใช้ในการปราบปรามพรรคการเมืองปฏิปักษ์ผ่านคำอ้างว่าเป็นภัยต่อความสามัคคีของคนในชาติ

            ลักษณะของการพยายามสร้างและเรียกตัวเองให้เป็นประชาธิปไตยโดยสอดไส้และหมกเม็ดข้อแม้ไว้ในบางประเด็นเพื่อรักษาอำนาจเดิมของตนเองและพวกพ้อง เช่นความพยายามในการเป็นประชาธิปไตยโดยรัฐบาลทหารพม่า ยังคงปรากฏอยู่ในอีกหลายประเทศในอุษาคเนย์ที่เรียกตัวเองว่าประเทศประชาธิปไตยแต่ยังคงไว้ซึ่งผู้มีอำนาจนำเหนืออธิปไตยของปวงชน และนำมาสู่คำอธิบายว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของประเทศนั้นๆ เช่น “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” และ/หรือ “ประชาธิปไตยแบบพม่าๆ” ที่อาจเป็นคำอธิบายที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง รวมทั้งประชาธิปไตยแบบ “อินโดๆ” หรือประเทศอื่นๆที่ปรากฏในลักษณะเดียวกัน

            ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งอุดมไปด้วยแหล่งวัตถุดิบนอกจากได้ทำให้ชาวตะวันตกสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวผ่านพ่อค้าคนกลางได้แล้ว ยังทำให้ผู้มีอำนาจนำใต้ปีกมหาอำนาจร่ำรวยในฐานะ “นายหน้า” อีกด้วย ผู้เขียนเชื่อว่ากระบวนการรักษาอำนาจของกลุ่มผู้มีอำนาจนำนั้นเกิดขึ้นมาจากช่วงสมัยการปลดปล่อยอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก เมื่อพลังคุ้มครองที่ทำให้ความมั่นคงและมั่งคั่งของชนชั้นปกครองเดิมที่เคยถูกรักษาไว้ใต้ปีกชาติตะวันตกนั้นต้องมลายลง ทำให้ผู้มีอำนาจต้องรักษาอำนาจผ่านทุกช่องทางที่เขาทำได้ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประชาชนชาวพื้นเมืองหรือชาติตะวันตกยอมรับ เพื่อคงอำนาจและผลประโยชน์ของตนเองในประเทศ ผ่านกติกาความเป็น “ประชาธิปไตย” ที่สามารถเป็นข้ออ้างให้กลุ่มประเทศโลกเสรีใหม่ให้การยอมรับ รวมทั้ง “ประชาธิปไตย” นั้นก็เป็นคำศัพท์ที่สวยในมุมมองของผู้ปกครองที่เชื่อว่าความคิดและคะแนนเสียงของตนนั้นจะมีความสำคัญต่อก้าวต่อไปของประเทศ

            อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้เริ่มได้กลิ่นถึงความไม่ชอบมาพากลของการปกครองที่มีความหมกเม็ดซ่อนอยู่ใน “Democracy” อันสวยหรู จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทักท้วง ประท้วง และลุกฮือต่อต้านชนชั้นอำนาจเดิม ซึ่งท้ายสุดก็จะมีจุดจบที่แตกต่างกัน อาจจะเป็นชัยชนะของประชาชนสู่การเริ่มต้นประชาธิปไตยในรูปแบบใหม่ ที่อาจวนกลับมาสู่ภาวะเดิม หรืออาจจะเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง หรือผู้ชุมนุมประท้วงเหล่านั้นอาจถูกปราบปรามอย่างสาหัส ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดเผยทาสแท้ของชนชั้นนำทางอำนาจว่าตนเองมีความเป็นประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด

            บทสรุป
            แม้ว่าในภูมิภาคอุษาคเนย์ยังคงปรากฏลักษณะประชาธิปไตยในรูปแบบพิเศษ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยหมกเม็ดและมิได้เดินไปตามเป้าประสงค์ของประชาธิปไตยที่หวังว่า “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” ในหลายประเทศเช่นเดียวกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและประสบชะตากรรมในรูปแบบคล้ายๆกันเป็นเบื้องหลัง แต่กระนั้นผู้เขียนยังมีความเชื่ออย่างยิ่งว่า ความพยายามรักษาอำนาจของชนชั้นนำเดิมนั้นจะไม่คงทนถาวร ถ้าชนชั้นนำเหล่านั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ในสังคม ชนชั้นเดิมก็ไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมตามมา ผู้เขียนเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกล้วนไม่คงทนถาวร การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นนิรันดร์กว่าสิ่งอื่นใด จึงขึ้นอยู่กับว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึ้นกับอะไร เพื่อให้คนในสังคมยอมรับและเดินหน้าไปในระบอบประชาธิปไตยพร้อมกัน

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รัฐบาลปีนังถูกกระตุ้นให้มีความตื่นตัวในภาคการท่องเที่ยวมากขึ้น

เขียนโดย Bernama

จันทร์ 8 พฤศจิกายน 2010 12:46


จอร์จทาวน์ : รัฐบาลปีนัง DAP – นำได้รับการร้องเรียนให้มีความตื่นตัวมากขึ้นในการส่งเสริมและพัฒนาภาคการท่องเที่ยวใน ปีนังในปีต่อไปนี้หลังจากการลดลงของนักท่องเที่ยว
หัวหน้ารัฐ Gerakan หัวหน้าเยาวชน Oh Tong Keong กล่าวว่าปีนังมีสถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวก แต่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาได้ลดลงในช่วงสองปี


เขากล่าวว่าการเข้าพักโรงแรมในปี 2008 - 2009 ลดลง 6.1%


"ตามรายงานของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม (SERI) ปีนัง, การพักโรงแรมลดลงจาก 64.7% เป็น 57.6% ในปี 2009"เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวที่อาคารประกอบรัฐที่นี่เมื่อวันที่จันทร์ 8 พฤศจิกายน
เขากล่าวว่า Gerakan รู้สึกผิดหวังกับสถานการณ์ปัจจุบันเนื่องจากส่วนมากของคนในปีนังขึ้นอยู่กับภาคการท่องเที่ยวในการดำรงชีวิต


นอกจากนี้เขากล่าวว่ากระทรวงการท่องเที่ยวเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในปีนังลดลง 6,300,000-5,900,000 ในปี 2009


" สถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าฝ่ายบริหารของรัฐล้มเหลวในการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวใหม่และจัดกิจกรรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น แต่ยังคงเกาะกิจกรรมเก่าๆ


"การวิ่งบนสะพานปีนัง, เทศกาลปีนัง, เทศกาลชินเก และ การแข่งขันเรือมังกรคือกิจกรรมของรัฐนำโดยรัฐบาลก่อนหน้านี้จากพรรค Barisan Nasional


"ฝ่ายบริหารของรัฐปัจจุบันต้องเริ่มต้นโปรแกรมใหม่ๆเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว"เขากล่าว -- Bernama

สมาชิกฝ่ายค้านมาเลเซียเรียกร้องลาออกท่ามกลางข้อกล่าวหาการฉ้อโกง


ซาอิด อิบราฮิม

กรุง กัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย – สมาชิกที่เป็นที่เคารพในพรรคฝ่ายค้านมาเลเซีย อันวาร์อิบราฮิม ได้ลาออกจากตำแหน่งในวันจันทร์และกล่าวหาว่าเพื่อนร่วมงานของเขาว่าเสแสร้งและหลอกลวง
การโจมตีอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกฏหมาย ซาอิด อิบราฮิม น่าจะเป็นสิ่งที่เพิ่มความขัดแย้งของผู้สนับสนุนฝ่ายค้านซึ่งเหนื่อยกับการต่อสู้ความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจรุนแรงจนทำให้ภาพพจน์ทางสาธารณะของอันวาร์ในขณะที่เขาต่อสู้กับข้อกล่าวหาทางเพศ

ซาอิดผู้ได้รับการยอมรับจากหลายบุคคลสำหรับความตรงไปตรงมาของหลักการทางการเมืองของเขา -- เขาได้ประกาศลาออกจากการตัดสินใจหลายตำแหน่งในพรรคความยุติธรรมของประชาชน และจะไม่ขอตำแหน่งรองประธานเนื่องจากการลงนาม"ความเป็นผู้นำในที่นี้จะทำให้การประพฤติมิชอบและการโกงการเลือกตั้งให้บรรลุวัตถุประสงค์”

ซาอิดผู้ที่เป็นคู่แข่งสำหรับการแย่งชิงตำแหน่งในพรรคกับบุคคลที่อันวาห์สนับสนุน อ้างว่ามีความผิดปกติในการจัดจำหน่ายของบัตรเลือกตั้งในการเลือกตั้งของพรรคสำหรับผู้บริหารพรรค

"ผมมั่นใจว่าพรรคการเมืองใดที่มีจรรยาบรรณที่ผิดแปลกดังกล่าวจะไม่สามารถที่จะนำเสนอการปฏิรูปที่มีความหมายกับคนของประเทศนี้"เขากล่าว

การแตกหักดังกล่าวเป็นการพลิกผันจากวันที่ ซาอิด ในฐานะพันธมิตรหลักของอันวาร์หลังจากเปลี่ยนข้างทางการเมืองจากการขับไล่จากพรรคฝ่ายรัฐบาลของมาเลเซียในปี 2008 เพราะเขาเข้าร่วมชุมนุมต่อต้าน

ซาอิดได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งจากอันวาห์ถ้าอันวาห์โดนตัดสินว่ามีความผิดจากการล่วงละเมิดเจ้าหน้าที่เพศชาย อันวาร์ประณามการฟ้องร้องดังกล่าวซึ่งอาจส่งผลให้เขาจำคุก 20 ปีว่าเป็นแผนของรัฐบาลเพื่อปิดกั้นการก้าวหน้าการเมืองของเขา รัฐบาลเองก็ออกมาปฏิเสธ

การทะเลาะวิวาทภายในในพันธมิตรของทั้งสามพรรคของอันวาร์ฯ ได้ทำให้ผลประโยชน์สำคัญที่ฝ่ายค้านทำในปี 2008 สำรวจความคิดเห็นระดับชาติ และทำให้ความหวังของฝ่ายค้านที่จะยึดอำนาจของรัฐบาลกลางในการเลือกตั้งที่หลายคาดหวังที่จะจัดขึ้นก่อนกลางปี 2012นั้นน้อยลง

ฮุดซีน ซาเยด อลี, รองประธานพรรคฝ่ายค้านที่ลาออกปฏิเสธข้อกล่าวหาของซาอิดของการทุจริตในวันจันทร์และชี้แจงว่าผู้นำพรรคจะไม่อยากให้เขาให้พิจารณาการลาออกของเขา

"เขาทำให้พรรคเสื่อมเสียมากพอแล้ว,"ซาเยด ฮุดซีน บอกในแถลงการณ์

เหตุการณ์นี้คือระเบิดระลอกสองในเวลาไม่ถึงสัปดาห์สำหรับฝ่ายค้านที่สูญเสียให้กับรัฐบาลผสมปกครองโดย นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งพิเศษในพฤศจิกายน 4 สำหรับสองที่นั่งในรัฐสภาและสภานิติบัญญัติของรัฐ

เกร็ดน่ารู้ในพงศาวดาร




เมื่อพูดถึงพงศาวดาร หรือจะเรียกชื่อให้เต็มว่า “พระราชพงศาวดาร” ที่มีหลายๆฉบับเช่น พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ,หลวงประเสริฐอักษรนิติ พระจักพรรดิพงศ์ หรือแม้กระทั่งพงศาวดารที่เขียนขึ้นของชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย ตามความหมายของพงศาวดารนี้จะเป็นรูปแบบการจดบันทึกเป็นเรื่องราว และเหตุการณ์สำคัญของกษัตริย์ หรือพระราชกรณียกิจของกษัตริย์ที่เกี่ยวกับอาณาจักร และศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรูปแบบ และเนื้อหาของพระราชพงศาวดารนี้จะเต็มไปด้วยคำราชาศัพท์ คำบาลี คำสันสกฤต เพื่อเป็นการยกย่อง และยอพระเกียรติของกษัตริย์ ซึ่งทำให้ผู้อ่าน (คนทั่วไป) หรืออาจจะมีนักเรียนนักศึกษาบ้าง ! ไม่เข้าใจเนื้อหานั้น และไม่รู้ความหมายของคำบาลี และคำสันสกฤต เลยทำให้พงศาวดารกลายเป็นหนังสือที่น่าเบื่อ และไม่มีความน่าสนใจที่ใครหลายๆคนจะหันมายิบอ่านกันบ้าง อีกทั้งยังเป็นแค่หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ว่าปีๆ นี้กษัตริย์ออกไปทำอะไรกันมาบ้าง ปีๆ นี้เกิดเหตุ เพศภัยอะไรขึ้นมาบ้าง! โดยปราศจากเหตุและผลของเหตุการณ์นั้นๆ ทว่าเรื่องราวของเหตุการณ์นั้นย่อมต้องมีความน่าสนใจอยู่บ้างให้เป็น “เกร็ดพงศาวดาร” แต่เราต้องอาศัยข้อมูลชุดอื่นๆ ที่ต่างจากพงศาวดาร ซึ่งบันทึก หรือจดหมายเหตุของชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัย ,เข้ามาทำการค้าขาย หรือเป็นเอกอัคราชทูต ซึ่งพบเห็นสิ่งใด หรือรับรู้เหตุการณ์ในสมัยนั้นก็จะจดเป็นบันทึกเรื่องราวไว้ เช่น ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ , นิโกลาส์ แซรแวส ,บาทหลวงตาชารด์ สมัยกรุงศรีอยุธยา หรือแม้กระทั่งสังฆราชปาลเลอกัวซ์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ฯลฯ ซึ่งเนื้อหาบางตอนในจดหมายเหตุนี้จะอธิบายรายละเอียดได้อย่างดี มีเหตุ- ผล และอ่านเข้าใจง่ายกว่าพงศาวดาร (อ่านแล้วไม่น่าเบื่อ!)

ดังนั้นข้าพเจ้า (ผู้เขียน) ได้ตังหัวข้อบทความว่า “เกร็ดน่ารู้ในพงศาวดาร” เป็นเหตุการณ์ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2148 - พ.ศ. 2153) เป็นเหตุการณ์ที่เจ้าฟ้าสุทัศน์ (พระราชโอรสสมเด็จพระเอกาทศรถ) ทรงเสวยยาพิษจนถึงแก่สวรรคต ซึ่งมูลเหตุนี้ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระจักพรรดิพงศ์ ว่า

“ลุศักราช 597 ปีมะแมศก ทรงพระกรุณาพระราชกำหนดหมายอัยการ และส่วยสัดพัฒนากรขนานตลาด แลพระกัลปนาความเป็นนิจภัตรแก่สังฆารามวาสีอรัญวาสีบริบูรณ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชบุตรสองพระองค์ องค์หนึ่งพระนามเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคๆ ประชวรพระยอดเสียพระเนตรข้างหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยกพระราชบุตร ผู้พี่ขึ้นเป็นมหาอุปราช อยู่4 เดือนเศษพระมหาอุปราชกราบทูลกรุณาว่า “จะขอพิจารณาคนออก” สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่าจะเป็นขบถหรือ! มหาอุปราชกลัวพระบิดาเป็นกำลัง ออกจากที่เข้าเฝ้ามาพระราชวังบวรสถานมงคล เพลาค่ำเสวยยาพิษสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระโทมนัสโสกาอาดูรภาพถึงพระราชโอรสเป็นอันมาก แล้วให้แต่งการพระราชทานเพลิงพระศพตามอย่างมหาอุปราช สมเด็จพระบาทบรมนาถบรมบพิตรพุทธเจ้าอยู่หัว ซึ่งบำเพ็ญทานการกุศลเป็นอเนกทุกประการ ครั้นลุ 963 ปีฉลูศก ทรงพระประชวรหนัก เสด็จสวรรคต”

จากข้อความในพระราชพงศาวดารข้างต้นนี้บันทึกเรื่องราว และเหตุการณ์เจ้าสุทัศน์เสวยยาพิษจนสวรรคต เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคๆ ตาบอดข้างหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่งตั้งพระราชบุตร ผู้พี่ขึ้น (เจ้าฟ้าสุทัศน์)เป็นพระมหาอุปราช ซึ่งอยู่มาได้ 4 เดือน พระองค์จึงเข้าเฝ้าพระบิดาและทูลขอพิจารณาคนออก และก็ถูกพระบิดาตรัสกลับมาว่าจะเป็นกบฏหรือ ! และเมื่อเข้าเฝ้าเสด็จพระองค์เสด็จกลับมาวังหน้าพอพลบค่ำก็เสวยยาพิษจนถึงแก่พิราลัย อย่างไรก็ตามถ้าเราจะวิเคราะห์ถึงมูลเหตุที่เจ้าฟ้าสุทัศน์เสวยยาพิษนี้ มีประเด็นที่น่าสงสัยอยู่ว่า คือ :

- การพิจารณาคนออกของเจ้าฟ้าสุทัศน์ คำว่า "คนออก" นี้คืออะไร?

- ทำไมพระเอกาทศรถจึงทรงพิโรธมาก และตรัสออกมาว่าจะเป็นกบฏหรือ?

ประเด็นแรกนี้คำว่าคนออกนี้ ทัศนะของ ต.อมาตยกุล ได้กล่าวไว้ว่า “ คำว่าออกที่ใช้ควบคู่กับคำนามมีในภาษาไทยหลายคำ เช่นคำว่า ทิศตะวันออก หมายถึงทิศที่พระอาทิตย์ขึ้น เมืองออก หมายถึง เมืองขึ้นหรือเมืองประเทศราช “”คนออก”” ในที่นี้น่าจะหมายความว่า คนขึ้นหรือคนในสังกัด ซึ่งเจ้าฟ้าสุทัศน์คิดจะทำขณะที่ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชได้หลายประการ และเหตุที่พระองค์จะทำนั้น ก็เกี่ยวกับคนที่ขึ้นในสังกัดกรมพระราชวังบวรทั้งสิ้น”

จากทัศนะของ ต.อมาตยกุล ได้กล่าวไว้ว่าที่การที่เจ้าฟ้าสุทัศน์ทูลขอพิจารณาคนออกนี้ เพื่อต้องการกำลังไพร่พลมาอยู่ในสังกัดวังหน้าบ้าง เพราะว่า เมื่อพระองค์ทรงรับตำแหน่งอุปราชได้ 4 เดือนทรงเห็นว่าข้าราชการ ไพร่พลในวังหน้านี้มีมีแต่ขุนศึกเก่าๆ ในครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรที่แก่ชราทุพลภาพมาก หรือบางคนก็ถึงแก่กรรมลงไป เมื่อพระเอกาทศรถได้ครองราชย์สมบัติพระองค์ก็ได้โอนย้ายข้าราชการและไพร่พลจากวังหน้าของพระองค์ให้ไปเป็นราชการของวังหลวง ทำให้คนในสังกัดวังหน้านั้นขาดแคลน และไม่มีคุณภาพดังนั้นพระองค์จึงทรงคิดทูลขอคนกับพระเจ้าอยู่หัวให้มาอยู่ในสังกัดของพระองค์เองบ้างเพียงเท่านั้นเอง

ประเด็นถัดมาเมื่อทราบถึงเจ้าฟ้าสุทัศน์ทูลขอกำลังคนมาอยู่ในสังกัดวังหน้าจากพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งระบบการเมืองการปกครองในสมัยโบราณ (รัฐศักดินา) การควบคุมกำลังคนนี้ถือเป็นปัจจัยหลักของการมีฐานอำนาจทางการเมือง ดังนั้นพระเอกาทศรถจึงคิดหวาดระแวงต่อพระองค์ (พระราชโอรส) ว่าจะส้องสุ่มกำลังไพร่พลเพื่อรัฐประหาร แต่ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าเจ้าสุทัศน์คิดจะส้องสุ่มกำลังคน และทำการรัฐประหารจริงพระองค์จะไปขอพิจารณาคนออก หรือขอกำลังคนจากสมเด็จพระเอกาทศรถทำไม ! : ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่ผู้ที่จะคิดทำการกบฏจะไปทูลขอคนจากพระเจ้าแผ่นดินเพื่อมาแย่งชิงราชบัลลังก์! ซึ่งพระองค์ทรงหวาดระแวงพระทัยไปเองมากกว่าเท่านั้น!
เรื่องมูลเหตุที่เจ้าฟ้าสุทัศน์เสวยยาพิษนอกจากจะปรากฏในพงศาวดารทุกฉบับแล้วเรื่องนี้ยังปรากฏในจดหมายเหตุชาวฮอลลันดาที่เข้ามาค้าขายในสมัยนั้นชื่อ “คอนิลิอัส วัน ไนเอนโรด ( Cornelius Van Nyenrode) ที่เขียนจดหมายถึง เอส แยนเสน (H. Yansen) ที่เมืองปัตตานีวันที่ 3 พฤษภาคม คศ. 1612 (พศ. 2155)

ว่า “ เมื่อครั้งที่พวกชาวญี่ปุ่นได้ก่อความวุ่นวายในเพชรบุรีแล้วถูขับไล่ออกจากเมือง แทนที่จะกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนขอตนกลับมาคุมกันตั้งมั่นอยู่ที่เมืองบางกอก และตั้งหัวหน้าขึ้นปกครองพวกตนต่างหากโดยไม่ยอมขึ้นกับฝ่ายไทยสมเด็จพระเอกาทศรถก็ทรงไม่กระตือรือร้น ในอันที่จะปราบญี่ปุ่นให้ราบคาบลงไป จนกระทั่งเจ้าฟ้าสุทัศน์ออกอุบายให้พระเจ้ากรุงล้านช้างยกทัพเข้ามาถึงเมืองลพบุรี จึงได้ยกทัพออกไปตีกองทัพล้านช้าง”

เรื่องที่ปรากฏในจดหมายเหตุที่เล่าถึงพวกญี่ปุ่นก่อความวุ่นวายในพระราชอาณาจักรนี้ กับไม่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ซึ่งขณะนั้นเจ้าฟ้าสุทัศน์ได้ขอให้ให้พระเจ้ากรุงล้านช้างยกทัพมาช่วยปราบกบฏญี่ปุ่น เมื่อทัพขอพระองค์มาถึงเมืองละโว้ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงทราบข่าวว่าพระเจ้ากรุงล้านช้างได้ยกทัพมาก็ไม่ทรงเชื่อว่าทัพพระเจ้าล้านช้างจะมาโดยสุจริต พระองค์จึงโปรดเกณฑ์ไพร่พลออกเข้าประชิดกองทัพพระเจ้ากรุงล้านช้าง แต่ว่าทัพพระเจ้ากรุงล้านช้างล่าทัพหนีกลับไป สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา ถ้าประเด็นเรื่องเป็นความจริงแล้วเจ้าฟ้าสุทัศน์ถือว่ามีโทษอย่างมหันต์ที่คบคิด และกระทำการชักศึกเข้าบ้านมีความผิดถึงขั้นประหารชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นต้น

ท้ายสุดนี้ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าเราลองเอาเรื่องราวในพงศาวดารกับจดหมายเหตุของชาวฮอลันดามาประติดประต่อเนื้อความกันแล้วกันจะได้ว่า เมื่อเจ้าฟ้าสุทัศน์ทูลพิจารณาคนออกจากพระเจ้าอยู่หัวแล้วไม่ได้ตามพระประสงค์ ก็อาจจะทำให้พระองค์น้อยพระทัยแล้วจึงชักศึกเข้าบ้านก็อาจจะเป็นไปได้ และก็อาจจะเป็นมูลเหตุสำคัญของการเสวยยาพิษจนสวรรคต เพื่อหนีความผิดโทษฐานกบฏ หรือไม่ก็อาจจะโดยพระราชบิดาขอพระองค์เองสำเร็จโทษก็เป็นได้ทั้งนั้น ดังนั้นจ้าฟ้าสุทัศน์ทรงเสวยยาพิษจนถึงแก่สวรรคตนี้มูลเหตุเกิดมาจาก

“อยากได้คน จนเกิดเรื่อง”

ต. อมาตยกุล( 2516) ของดีในประวัติศาสตร์และโบราณคดี(หน้า 21-29)

จักรพรรดิพงษ์ พระ (มปป.) พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา


การเมืองแบบไทยๆ ผ่าน มือปืน/ดาว/พระเสาร์ และ อินทรีแดง


                                    

การเมืองแบบไทยๆ ผ่าน มือปืน/ดาว/พระเสาร์ และ อินทรีแดง 

สังคมไทยนั้นได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสังคมที่บริโภคข่าวสารเป็นหลัก ผู้คนในประเทศจะต้องรับรู้ข่าวสารที่สำคัญในแต่ละวันเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และจะได้ไม่ตกยุค โดยเฉพาะกับข่าวการเมืองที่ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจมากที่สุด อาจเป็นเพราะการเมืองเป็นเรื่องของปากท้องที่ทุกคนต้องติดตาม การเมืองเป็นเรื่องน้ำเน่าไม่ต่างอะไรไปจากละครโทรทัศน์ หรือการเมืองเป็นเรื่องสนุก ดังจะเห็นได้จากการสนทนายามเช้าของสภากาแฟตามที่ต่างๆ และรายการข่าวทางโทรทัศน์ก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบนำเสนอจากรายงานข่าวมาเป็นการเล่าข่าวแทนเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและไม่น่าเบื่อ ดังนั้นเรื่องของการเมืองจึงถูกโฉลกกับคนในสังคมไทยไม่หนีหายไปไหน
      
เมื่อเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องที่สำคัญในระดับประเทศ แวดวงบันเทิงเองก็เอาการเมืองมานำเสนอบ้าง มีการผลิตความเป็นการเมืองในบริบทที่แตกต่างกันออกไป มีการนำเสนอในรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ ละคร เพลง หรือแม้แต่หนังสือการ์ตูนก็หยิบยกเอาการเมืองมายั่วล้อกันอย่างสนุกสนาน แต่ที่ดูจะมีอิทธิพลมากที่สุด(ในความคิดผู้เขียน) คงเห็นจะเป็นภาพยนตร์เท่านั้น อาจจะเป็นเพราะว่าทุนสร้าง การดำเนินงานสร้าง บทภาพยนตร์ที่นำเสนอการเมืองได้หลายแง่มุมมากกว่า รวมทั้งความเชื่อของคนบางกลุ่มว่าการสร้างภาพยนตร์ที่นำเสนอการเมืองนั้นถ้าบทหนังดีมีคุณภาพจะมีโอกาสได้รับรางวัลอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจึงมีโอกาสชมภาพยนตร์การเมืองทั้งไทยและเทศที่มีบทดีๆและได้รับรางวัลมาอย่างมากมาย  

บทความชิ้นนี้จะขอนำเสนอภาพยนตร์ไทย2เรื่อง2รส ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองอย่าง มือปืน/ดาว/พระเสาร์ ของยุทธเลิศ สิปปภาค และอินทรีแดงของ วิศิษฏ์  ศาสนเที่ยง  ภาพยนตร์สองเรื่องนี้มีการเมืองเหมือนกัน มีการกล่าวถึงนักการเมืองเหมือนกัน และค่อนข้างมีอะไรหลายอย่างแฝงไว้ในภาพยนตร์เหมือนกัน

มือปืน/ดาว/พระเสาร์ เล่าเรื่องราวของ ตี๋ ไรเฟิล นกเพลิงบางปลาม้า มือปืนรับจ้างผู้ฆ่าคนมานับไม่ถ้วนโดยเฉพาะกับนักการเมืองเขาเชื่อว่านักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังของการชุมนุมไม่ว่าจะสีเสื้อไหนก็ตามแต่ นักการเมืองต้องถูกกำจัดทิ้ง ตี๋มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคริส หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ ตี๋พบว่าคริสคือรักแท้ของเขาแต่หารู้ไม่ว่าคริสคือลูกสาวของนักการเมืองที่เขาปลิดชีวิต และเมื่อคริสรู้ว่าตี๋คือผู้ปลิดชีวิตพ่อตัวเองนั้น จึงแค้นและเกิดเป็นสงครามท่ามกลางความรักของชายหนุ่มและหญิงสาว

ว่ากันที่มือปืน/ดาว/พระเสาร์นั้นมีประเด็นความน่าสนใจอยู่ที่การนำเอาสถานการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาของไทยมาไว้ได้อย่างกลมกลืน ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือฉากเปิดเรื่องที่นำภาพเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ผ่านมาอีกด้วย   ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงประเด็นของนักการเมืองไทยที่ส่วนใหญ่แล้วคนมักจะนึกถึงในแง่ลบ นักการเมืองมักคดโกง คอรัปชั่น ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ทำให้ใครหลายคนต่างโหยหานักการเมืองที่ดีจริงๆ ตัวละครอย่างตี๋ที่คิดว่านักการเมืองทุกคนนั้นเลวควรกำจัดให้สิ้นซากไม่ให้ประเทศมีนักการเมืองอีกต่อไป แต่ปัญหาอันน่าคิดอยู่ที่ว่าถ้ากำจัดนักการเมืองให้หมดนั้น ประเทศนี้ยังจะเป็นระบอบเดิมอยู่หรือไม่  ระบอบประชาธิปไตยที่ให้สิทธิในการเลือกตั้ง ให้สิทธิในการเลือกผู้แทนราษฎรเข้าสภา ให้สิทธิในการที่ผู้แทนราษฎรเข้ารับตำแหน่งสำคัญๆ และเข้ามาบริหารงบประมาณแผ่นดินได้  อีกทั้งระบอบประชาธิปไตยที่ให้สิทธิในการชุมนุมในที่สาธารณะได้ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความขัดแย้งทางความคิดของตี๋เองที่มีต่อความจริงในสังคมไทย  รวมทั้งความรักของตี๋กับคริสยังมีความขัดแย้งกันทั้งความรักต่างชนชั้นอย่างมือปืนที่เปรียบเสมือนชนชั้นล่างทางสังคมกับลูกสาวนักการเมืองที่เปรียบเสมือนชนชั้นนำทางสังคม ฉากสนทนาระหว่างกันของตี๋กับคริสที่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองมีวิธิคิดแตกต่างกัน ราวกับว่าถ้าเราเป็นชนชั้นที่ต่างกัน มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน เราจะต้องขัดแย้งให้ถึงที่สุดเชียวหรือ ?

ส่วนอินทรีแดงนั้นมีเนื้อหาที่ค่อนข่างคล้ายกับมือปืน/ดาว/พระเสาร์อยู่ที่กล่าวถึงนักการเมืองเลวๆเหมือนกัน อินทรีแดงเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกอนาคตปีค.ศ.2016 เป็นยุคที่บ้านเมืองมีแต่ความวุ่นวาย ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด ปัญหาการค้าประเวณี รวมทั้งปัญหานักการเมืองคอรัปชั่น สังคมมีความเสื่อมโทรมลงทุกวัน สังคมไทยโหยหาวีรบุรุษเพื่อช่วยเหลือบ้านเมือง วีรบุรุษลึกลับอย่างโรม ฤทธิไกรหรืออินทรีแดงจึงถือกำเนิดขึ้น เขาคอยตามล่ากวาดล้างอาชญากรและนักการเมืองเลวๆโดยเขามีความเชื่อว่ากฏหมายไม่สามารถเอาผิดอะไรกับคนพวกนี้ได้ ซึ่งแตกต่างกับแนวคิดของหมวดชาติ เพื่อนสนิทของโรม(เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรมคืออินทรีแดง)ที่คิดว่าอินทรีแดงไม่ควรเข่นฆ่าผู้คนด้วยวิธีเหนือกฎหมายแบบนี้ นอกจากนี้โรมยังได้รับความช่วยเหลืออย่างห่างๆจากวาสนา เอ็นจีโอสาวที่เคยเป็นอดีตคู่หมั้นกับนายกรัฐมนตรี บุคคลสำคัญระดับประเทศ

ต้องขอบอกว่าอินทรีแดงเป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอแง่มุมของนักการเมืองเลวๆได้แรงกว่าเรื่องมือปืน/ดาว/พระเสาร์เป็นอย่างมาก โดยที่กล้านำเสนอภาพพจน์ของนายกรัฐมนตรีให้เป็นตัวร้าย!!! จากการที่เคยประกาศหาเสียงว่าหากเลือกตนเป็นนายกจะไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จนเมื่อได้รับเลือกแล้วนั้นก็ไม่สนใจสิ่งที่เคยพูดในอดีต ยังคงมีการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต่อไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง รวมทั้งการเข้ามาหาผลประโยชน์แบบเปิดเผยของชาวต่างชาติ หลายสิ่งหลายอย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนความเป็นจริงในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็น การไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่ของเหล่าข้าราชการ การซื้อขายประเวณีเด็กของส.ว.ที่หน้าฉากเป็นพวกมูลนิธิคุ้มครองเด็ก  การทำงานที่ล่าช้าในระบบราชการตำรวจที่ต้องขึ้นตรงต่อนักการเมือง มิหนำซ้ำหลายฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างจงใจเหมือนหรือบังเอิญเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในสังคมไทย อย่างการรวมกลุ่มของชาวบ้านและเอ็นจีโอเพื่อต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์(เปรียบกับกรณีมาบตะพุด) การที่ให้ตัวละครตัวหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำชาวบ้านมีชื่อว่าจรัญ(เปรียบกับกรณีของเจริญ วัดอักษร)  การชุมนุมเพื่อต่อต้านท่ามกลางการประกาศพระราชกำหนดฉุกเฉิน(เปรียบกับกรณีของการชุมนุมในแต่ละครั้งที่ผ่านมา) เหล่านี้จึงทำให้ภาพยนตร์ดูร่วมสมัยมากขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในจอและนอกจอเหมือนหรือคล้ายเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่บทหนังถูกเขียนมากว่า3ปีที่แล้ว!!!

สิ่งที่น่าชื่นชมของภาพยนตร์เรื่องนี้เห็นจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกและการกระทำของตัวละคร ซึ่งถ้าเทียบกับอินทรีแดงฉบับมิตร ชัยบัญชา ตัวละครจะมีลักษณะแบบขาว-ดำ เป็นฝ่ายดี-ฝ่ายร้ายอย่างชัดเจน แต่อินทรีแดงฉบับนี้ ตัวละครที่ดูมีความเป็นปุถุชนเหมือนคนทั่วไป มีรัก โลภ โกรธ หลง ยกตัวอย่างโรม ฤทธิไกรหรืออินทรีแดงนั้นที่เป็นฝ่ายดีนั้น การกระทำของเขาดูจะห่างไกลกับคำว่าวีรบุรุษเป็นอย่างมาก การเข่นฆ่าผู้ร้ายอย่างเอาเป็นเอาตายโดยที่ไม่คำนึงกฎหมาย ถ้าพิจารณาในแง่ของศีลธรรมและความดีความชอบแล้วนั้น เขาจะทำอย่างนี้ได้หรือไม่ หรือแม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ายร้าย ก็ไม่ได้ร้ายบ้าเลือดหรือเลวมาแต่กำเนิดตามภาพยนตร์ทั่วไป ยังมีด้านดีๆให้ได้พบเห็น ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์อย่างเรา ที่ไม่ได้เป็นคนดีที่สุดหรือเลวที่สุด แต่มนุษย์มีทั้งสองด้านในตัวคนเดียว ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้มีน้ำหนักมากพอที่จะพัฒนาบุคลิกของตัวละครในเรื่องอย่างมีที่มาที่ไป  และไม่ทำให้คนดูทั่วไป(อย่างผู้เขียน) เข้าข้างฝ่ายไหนเป็นพิเศษ ทั้งๆที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีลักษณะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ ที่มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย!!!

        สรุปได้ว่าภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องดูสนุกและให้อะไรมากกว่าที่คิด เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนการเมืองในสังคมไทยในหลายๆเรื่อง จะว่าไปแล้วเป็นที่น่าสังเกตว่าภาพยนตร์ไทยส่วนใหญ่มักจะสร้างให้นักการเมืองเป็นบุคคลที่ให้พูดถึงในแง่ลบมากกว่าในแง่บวก อาจเป็นเพราะในสังคมไทยนั้น คนส่วนใหญ่นึกถึงนักการเมืองในแง่นั้นจริงก็เป็นได้ ภาพลักษณ์ของนักการเมืองจึงดูไม่ค่อยดีในสายตาของคนไทย และหากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าแทบจะไม่มีภาพยนตร์ไทยเรื่องไหนสร้างภาพลักษณ์ให้นักการเมืองในด้านดีเลย ถึงมีก็น้อยมากๆ  นั่นจึงเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าสังคมไทยมีผลต่อโลกภาพยนตร์มากขนาดไหน
       
         ตราบใดที่ยังมีการเมืองแบบไทยๆ  ก็ยังคงมีภาพยนตร์ไทยๆแบบนี้อยู่เช่นเคย

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อย่าคาดหวัง

โดย: อารัยฮิ

หลังจากเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 20 ปี ของพม่าสิ้นสุดลงและผลการเลือกตั้งก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพรรคการเมืองที่ชนะในการเลือก/ลากตั้ง ครั้งนี้ก็คือพรรค United Solidarity Development Party หรือ USDP ของรัฐบาลทหารพม่าทั้งยังได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดการณ์ของนักวิเคราะห์รวมทั้งผู้ติดตามโดยทั่วไปอยู่แล้วกับผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งนอกเหนือจากผลการเลือกตั้ง(ที่มันก็รู้อยู่แล้วว่าจะออกมาเป็นอย่างไร)ก็คือปฎิกริยาหลังจากการเลือกตั้งระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับกลุ่มกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ หรือ DKBA ที่ได้เกิดการสู้รบกันขึ้นอย่างรุนแรงที่เมืองเมียวดีติดกับชายแดนของประเทศไทย

จากเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นผลได้ฟังนักวิเคราะห์หลายท่านพูดจึงฟังพอที่ผมจะสรุปได้ว่าเหตุการสู้รบกันดังกล่าวเกิดขึ้นจากรัฐบาลทหารพม่าต้องการให้กลุ่ม
กะเหรี่ยง DKBA (ซึ่งเคยประกาศยุติสงครามกับรัฐบาลทหารพม่า) แปรเปลี่ยนจากกองกำลังติดอาวุธของตนเองเป็นกองกำลังรักษาชายแดน (Border Guard Force) ภายใต้รัฐบาลพม่าแต่กลุ่มกะเหรี่ยง DKBA ไม่ยอม และยิ่งในช่วงเลือกตั้งทหารพม่ายังได้มาข่มขู่บังคับพวกเขาให้ไปเลือกพรรคของรัฐบาลทหารอีกทำให้เกิดความไม่พอใจมากขึ้น

จากเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นผลได้ฟังนักวิเคราะห์หลายท่านพูดจึงฟังพอที่ผมจะสรุปได้ว่าเหตุการสู้รบกันดังกล่าวเกิดขึ้นจากรัฐบาลทหารพม่าต้องการให้กลุ่ม
กะเหรี่ยง DKBA (ซึ่งเคยประกาศยุติสงครามกับรัฐบาลทหารพม่า) แปรเปลี่ยนจากกองกำลังติดอาวุธของตนเองเป็นกองกำลังรักษาชายแดน (Border Guard Force) ภายใต้รัฐบาลพม่าแต่กลุ่มกะเหรี่ยง DKBA ไม่ยอม และยิ่งในช่วงเลือกตั้งทหารพม่ายังได้มาข่มขู่บังคับพวกเขาให้ไปเลือกพรรคของรัฐบาลทหารอีกทำให้เกิดความไม่พอใจมากขึ้น

ผลจากการปะทะกันดังกล่าวจะเห็นได้ว่าส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงได้กับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านกับพม่าและใกล้กับฐานที่ตั้งของกลุ่มกะเหรี่ยง DKBA ด้วยเหตุนี้เมื่อมีการปะทะกันเกิดขึ้นของกลุ่มทหารพม่าและกลุ่มกะเหรี่ยงพุทธ ทำให้มีผู้อพยพจากการปะทะหนีเข้ามายังฝั่งของประเทศไทยเป็นจำนวนหลายหมื่นคน ส่วนมากก็เป็น “เด็ก สตรี และคนชรา” และสิ่งที่ทางเจ้าหน้าที่ของไทยทำคือเข้าไปช่วยดูแลเรื่องต่างๆ ตามหลักสิทธิมนุษยชนแล้วจึงผลักดันผู้อพยพกลับไปยังพม่าอีกหลายรอบทั้งๆ ที่ยังมีการปะทะกันอย่างรุนแรงในพื้นที่ หรือแม้ได้ยินเสียงปืนก็ตามแต่ก็พยายามจะผลักดันให้ผู้อพยพก็ไปยังพม่า

ผลจากการปะทะกันดังกล่าวจะเห็นได้ว่าส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงได้กับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านกับพม่าและใกล้กับฐานที่ตั้งของกลุ่มกะเหรี่ยง DKBA ด้วยเหตุนี้เมื่อมีการปะทะกันเกิดขึ้นของกลุ่มทหารพม่าและกลุ่มกะเหรี่ยงพุทธ ทำให้มีผู้อพยพจากการปะทะหนีเข้ามายังฝั่งของประเทศไทยเป็นจำนวนหลายหมื่นคน ส่วนมากก็เป็น “เด็ก สตรี และคนชรา” และสิ่งที่ทางเจ้าหน้าที่ของไทยทำคือเข้าไปช่วยดูแลเรื่องต่างๆ ตามหลักสิทธิมนุษยชนแล้วจึงผลักดันผู้อพยพกลับไปยังพม่าอีกหลายรอบทั้งๆ ที่ยังมีการปะทะกันอย่างรุนแรงในพื้นที่ หรือแม้ได้ยินเสียงปืนก็ตามแต่ก็พยายามจะผลักดันให้ผู้อพยพก็ไปยังพม่า

ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องจากกลุ่มองค์กรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศต่อกรณีของการส่งผู้ลี้ภัยกับประเทศของรัฐบาลไทยทั้งๆ ที่ยังมีการปะทะกันอยู่ในพื้นที่ และต่อมาได้มีแถลงการณ์ออกมาจาก “ศูนย์ข่าวข้ามพรมแดน” โดยมีการเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยให้ระมัดระวังในการส่งกลับผู้ลี้ภัยเนื่องจากการสู้รบอยู่ จนกว่าจะมีผลการตรวจสอบด้วยการมีส่วนร่วมประเมินสถานการณ์ของ สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติและตัวแทนผู้ลี้ภัยว่าผู้ที่กลับไปจะปลอดภัย ทั้งดูแลผู้ลี้ภัยให้ได้เข้าถึงความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมอย่างสมควร และการทบทวนนโยบายเรื่องการส่งกลับผู้ลี้ภัย ด้วยการมีส่วนร่วมของทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง (ดูฉบับเต็มที่
http://prachatai.com/journal/2010/11/31867)

ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องจากกลุ่มองค์กรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศต่อกรณีของการส่งผู้ลี้ภัยกับประเทศของรัฐบาลไทยทั้งๆ ที่ยังมีการปะทะกันอยู่ในพื้นที่ และต่อมาได้มีแถลงการณ์ออกมาจาก “ศูนย์ข่าวข้ามพรมแดน” โดยมีการเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยให้ระมัดระวังในการส่งกลับผู้ลี้ภัยเนื่องจากการสู้รบอยู่ จนกว่าจะมีผลการตรวจสอบด้วยการมีส่วนร่วมประเมินสถานการณ์ของ สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติและตัวแทนผู้ลี้ภัยว่าผู้ที่กลับไปจะปลอดภัย ทั้งดูแลผู้ลี้ภัยให้ได้เข้าถึงความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมอย่างสมควร และการทบทวนนโยบายเรื่องการส่งกลับผู้ลี้ภัย ด้วยการมีส่วนร่วมของทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง (ดูฉบับเต็มที่
http://prachatai.com/journal/2010/11/31867)

ข้อเรียกร้องต่างๆ จากการกระทำดังกล่าวของประเทศไทยในความคิดของผมทำให้ไทยดูจะเสียภาพพจน์ไปบ้างในสายชาวโลกที่ติดตามสถานการณ์ของพม่า เพราะการผลักดันผู้ลี้ภัยข้ามแดนทั้งที่ยังมีการสู้รบปรบมือกันอยู่นั้นดูจะเป็นความไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่งของรัฐบาลไทย นั้นอาจเพราะรัฐบาลไทยเป็นห่วงเพียงแค่ผลโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับจากรัฐบาลทหารพม่ามากกว่าความเป็นมนุษย์ด้วยกันของชาวกะเหรี่ยงที่เดือดร้อนจากภัยสงครามและการถูกกดขี่ของระบอบการเมืองที่ไม่ชอบธรรมภายในประเทศของเขา ซึ่งพวกเขาต้องการที่พึ่งและประเทศไทยก็คือความหวังและความคาดหวังของชนกลุ่มน้อยและประชาคมโลก
ข้อเรียกร้องต่างๆ จากการกระทำดังกล่าวของประเทศไทยในความคิดของผมทำให้ไทยดูจะเสียภาพพจน์ไปบ้างในสายชาวโลกที่ติดตามสถานการณ์ของพม่า เพราะการผลักดันผู้ลี้ภัยข้ามแดนทั้งที่ยังมีการสู้รบปรบมือกันอยู่นั้นดูจะเป็นความไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่งของรัฐบาลไทย นั้นอาจเพราะรัฐบาลไทยเป็นห่วงเพียงแค่ผลโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับจากรัฐบาลทหารพม่ามากกว่าความเป็นมนุษย์ด้วยกันของชาวกะเหรี่ยงที่เดือดร้อนจากภัยสงครามและการถูกกดขี่ของระบอบการเมืองที่ไม่ชอบธรรมภายในประเทศของเขา ซึ่งพวกเขาต้องการที่พึ่งและประเทศไทยก็คือความหวังและความคาดหวังของชนกลุ่มน้อยและประชาคมโลก

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผมมีความรู้สึกว่าประเทศไทยถูกคาดหวังจากองค์กรและภาคส่วนต่างๆ จากทั่วโลกอาจจะเนื่องด้วยเพราะประเทศไทยมีพรมแดนที่ติดกับประเทศพม่าและความที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยหรือจะเหตุผลอื่นใดก็ตาม ทำให้รัฐบาลไทยจึงถูกคาดหวังจากประชาคมโลกอย่างมาก ทั้งเรื่องการช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัยจากการปะทะกันระหว่างทหารพม่ากับชนกลุ่มน้อย การช่วยพม่าในกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยและการต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลทหารพม่า จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดนั้นได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นที่จับจ้องจากทั่วโลกและเป็นศูนย์กลางของความคาดหวังจากกลุ่มต่างๆ ทั่วโลกในการพัฒนาประชาธิปไตย คุณภาพชีวิต และสิทธิมนุษยชน

แต่สิ่งที่ประชาคมโลกคาดหวังนั้นผมคิดว่าคงไม่สามารถคาดหวังได้กับรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน เพราะผมคิดว่ารัฐบาลภายใต้การนำของประชาธิปัตย์ไม่สามารถที่จะตอบสนองคาดหวังอะไรต่างๆ ที่ว่าได้เนื่องจากสิ่งที่เรากำลังคาดหวังอยู่นั้นรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ยังไม่สามารถที่จะนำตัวเองออกจากข้อกล่าวต่างๆ ได้เลยแม้แต่ข้อเดียว รัฐบาลไทยปัจจุบันคงไม่กล้าที่จะแนะนำพม่าเกี่ยวกับประชาธิปไตยเพราะรัฐบาลไทยปัจจุบันก็จัดตั้งมาจากทหารเช่นกันกับพม่า รัฐบาลไทยคงไม่กล้าบอกให้ทหารพม่าปล่อยนางออง ซาน ซูจี และนักโทษการเมือง เพราะพวกเราเองก็ยังขังนักโทษการเมืองไม่ต่างจากทหารพม่า รัฐบาลไทยคงไม่วิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชนและการที่ทหารพม่ากวาดล้างชนกลุ่มน้อยเพราะที่ราชประสงค์พวกเขายังทำกับประชาชนที่ไม่เห็นด้วยเหมือนที่พม่าทำกับชนกลุ่มน้อย รัฐบาลไทยคงไม่กล้าบอกให้รัฐบาลพม่าจัดการเลือกตั้งที่เสรีเพราะพวกเขาก็ประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จำกัดเสรีภาพของประชาชนในประเทศตนเองและปิดสื่อบล็อกเว็บไซต์เป็นว่าเล่น

แต่สิ่งที่ประชาคมโลกคาดหวังนั้นผมคิดว่าคงไม่สามารถคาดหวังได้กับรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน เพราะผมคิดว่ารัฐบาลภายใต้การนำของประชาธิปัตย์ไม่สามารถที่จะตอบสนองคาดหวังอะไรต่างๆ ที่ว่าได้เนื่องจากสิ่งที่เรากำลังคาดหวังอยู่นั้นรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ยังไม่สามารถที่จะนำตัวเองออกจากข้อกล่าวต่างๆ ได้เลยแม้แต่ข้อเดียว รัฐบาลไทยปัจจุบันคงไม่กล้าที่จะแนะนำพม่าเกี่ยวกับประชาธิปไตยเพราะรัฐบาลไทยปัจจุบันก็จัดตั้งมาจากทหารเช่นกันกับพม่า รัฐบาลไทยคงไม่กล้าบอกให้ทหารพม่าปล่อยนางออง ซาน ซูจี และนักโทษการเมือง เพราะพวกเราเองก็ยังขังนักโทษการเมืองไม่ต่างจากทหารพม่า รัฐบาลไทยคงไม่วิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชนและการที่ทหารพม่ากวาดล้างชนกลุ่มน้อยเพราะที่ราชประสงค์พวกเขายังทำกับประชาชนที่ไม่เห็นด้วยเหมือนที่พม่าทำกับชนกลุ่มน้อย รัฐบาลไทยคงไม่กล้าบอกให้รัฐบาลพม่าจัดการเลือกตั้งที่เสรีเพราะพวกเขาก็ประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จำกัดเสรีภาพของประชาชนในประเทศตนเองและปิดสื่อบล็อกเว็บไซต์เป็นว่าเล่น

ผมไม่ได้ต้องการจะกล่าวหาหรือให้ร้ายรัฐบาลแต่อย่างใดแต่รัฐบาลไทยได้พิสูจน์ให้เห็นจากการผลักดันให้ผู้ลี้ภัยเข้าไปในพื้นที่ที่ยังมีการต่อสู้กันอยู่ ผมไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่คนที่ถูกส่งกลับนั้นคือ “เด็ก สตรี และคนชรา” และนั้นคือการส่งพวกเขาไปตาย และนี่ไม่ใช่การกระทำครั้งแรกของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันเพราะแม้แต่คนในประเทศเดียวกันรัฐบาลชุดปัจจุบันกันทำมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่จะต่างกันก็ตรงที่ “ส่งให้ฆ่ากับฆ่ากับมือ” เท่านั้น

ผมไม่ได้ต้องการจะกล่าวหาหรือให้ร้ายรัฐบาลแต่อย่างใดแต่รัฐบาลไทยได้พิสูจน์ให้เห็นจากการผลักดันให้ผู้ลี้ภัยเข้าไปในพื้นที่ที่ยังมีการต่อสู้กันอยู่ ผมไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่คนที่ถูกส่งกลับนั้นคือ “เด็ก สตรี และคนชรา” และนั้นคือการส่งพวกเขาไปตาย และนี่ไม่ใช่การกระทำครั้งแรกของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันเพราะแม้แต่คนในประเทศเดียวกันรัฐบาลชุดปัจจุบันกันทำมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่จะต่างกันก็ตรงที่ “ส่งให้ฆ่ากับฆ่ากับมือ” เท่านั้น

ดังนั้นผมคิดว่าชาวพม่า ชาวไทย และชาวโลก “อย่าคาดหวังอะไรกับรัฐบาลไทย อย่าคาดหวังอะไรจากรัฐบาลของประเทศในอาเซียนเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นประชาชนเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนประชาคมเลย”

เวียดนาม แอร์ไลน์ เริ่มเปิดทางใหม่ไปย่างกุ้ง

Vietnam Airlines

สำนักงานข่่าว AFP
ฮานอย – “สัปดาห์หน้า เครื่องบินเวียดนามกำลังบินตรงไปยังพม่า”  -  เจ้าหน้าที่การบิน กล่าวเมื่อวันอาทิตย์
เพื่อรับกระแสการเลือกทั่วไปที่เกิดขึ้นในพม่า เวียดนามแอร์ไลน์ (VNA) ได้พัฒนาเส้นทางการบินของตน โดยจะบินจากศูนย์กลางการค้าทางใต้แห่งโฮจิมินห์ ซิตี้ โดยตรงไปยัง ย่างกุ้งศูนย์กลางของพม่าใต้ ได้ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้
"จะมีสามสายการบินต่อสัปดาห์ระหว่างสองปลายทาง"  โฆษก ลี หวง ดุง ได้กล่าวไว้อย่างเปรยๆ โดยไม่ได้อธิบายถึงรายละเอียดภาย
ก่อนหน้านี้นี้ในเดือนมีนาคม สายการบินเวียดนามแอร์ไลน์จะเริ่มบินจากกรุงฮานอยฮานอยไปถึงย่างกุ้ง 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และมีแผนที่จะ และมีแผนที่จะเพิ่มเป็น 5 เที่ยวบินเร็วๆนี้

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จะมีอะไรหลังการเลือกตั้งในพม่า

จะมีอะไรหลังการเลือกตั้งในพม่า
โดย จอมพล ดาวสุโข




การเลือกตั้งในรอบ 20 ปีของประเทศพม่าไม่ได้ทำให้นักวิชาการหรือผู้สนใจในประเด็นของประเทศพม่าตื่นเต้น หรือตระหนกกลัวเท่าใดนัก นั่นก็เป็นเพราะการเลือกตั้งได้ถูก “วางยา” มาตั้งแต่แรกผ่านกฏกติกาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ถึงย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งในครั้งนี้นั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในพม่าอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นทางดีหรือทางร้ายก็ตาม

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งนั้นจึงดูเป็นสิ่งที่ผู้จับตาสถานการณ์ในพม่าให้ความสนใจมากกว่า โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีพรมแดนติดกับพม่ามากที่สุดกว่า 2,000 กิโลเมตร ยาวตลอดแนวทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งมีชนกลุ่มน้อยหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ภายใต้ท่าทีที่แตกต่างกันในช่วงก่อนการเลือกตั้ง บ้างโอนอ่อนผ่อนตามรัฐบาลทหารผ่านข้อตกลงหยุดยิง และแปรขบวนกองทัพชาติพันธุ์เป็นแนวร่วมอาสาปกป้องชายแดน โดยแลกกับผลประโยชน์ที่รัฐบาลทหารมอบให้ทั้งที่เปิดเผยและปิดลับ ในขณะที่บางกลุ่มก็แสดงท่าทีต่อต้านอำนาจจากส่วนกลางของพม่าผ่านการลงเลือกตั้งบ้าง หรือทำสงครามขัดแย้งกันในบางช่วงเวลา

ท่าทีก่อนการเลือกตั้งของชนกลุ่มน้อยของพม่าก่อนการเลือกตั้งนี้ แม้ว่าจะมีความคิดที่แตกต่าง แต่ทางการไทยที่ต้องเป็นฝ่ายรับบทหนักเมื่อพรมแดนฝั่งตรงข้ามมีปัญหาก็ยังคงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ได้ จนกระทั่งช่วงเย็นของวันอาทิตย์แห่งการเลือกตั้งนั่นเอง หลายเมืองยุทธศาสตร์ของชนกลุ่มน้อยที่ประชิดชายแดนไทยถูกจู่โจมโดยกองทัพโดยไม่ทันรู้ตัว จนหลายคนบอกว่านี่คือการแสดงกฤษดาอภินิหารครั้งสำคัญหลังจากหย่อนบัตรลงคะแนนเสียง บ้างก็ว่ากล่าวโดยคำพูดเสียดสีและตลกร้ายว่า นี่คือกองทหารที่ซุกซ่อนมาพร้อมกับหีบเลือกตั้งและบัตรลงคะแนนนั่นเอง ในขณะที่บางส่วนเชื่อว่าเกิดจากที่กองทัพนั้นได้ “กลิ่น” การแข็งข้อของชนกลุ่มน้อยเดิมจึงวางกำลังเตรียมการณ์ไว้ก่อนหน้า พร้อมชิงบุก “กระชับพื้นที่” ในช่วงที่กองกำลังชนกลุ่มน้อยยังไม่พร้อม

ไม่ว่าต้นสายของเสียงปืนแตกครั้งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ผลที่เกิดขึ้นคือชาวบ้านที่ไม่ทันตั้งตัวต่างพากันอพยพ “หนีภัย” มายังฝั่งไทยเป็นจำนวนมหาศาลในหลายจุดสำคัญ เช่นที่ด่านแม่สอด หรือที่ด่านเจดีย์สามองค์ เป็นต้น การเข้ามา “หนีภัย” ของคนนับหมื่นนั้นทำให้ไทยที่มีนโยบาย “ไม่เปิด” และ “จะปิด” การขออพยพมาตั้งแต่แรกนั้นอิหลักอิเหลื่อเป็นอย่างมาก เพราะแหล่งข่าวมีความชัดเจนว่า ท่าทีของไทยหลังการเลือกตั้งพม่าเสร็จสิ้นคือ “ส่งกลับ” และ “ส่งกลับ” โดยอ้างว่า “พม่า” ได้ดำเนินสู่ความเป็น “ประชาธิปไตย” แล้ว แต่เมื่อสถานการณ์กลับพลิกผัน แน่นอนว่าผู้มีอำนาจในกระทรวงต่างประเทศหลายคนอาจจะ “ตกเก้าอี้” และ “หมดท่า” โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ยังไม่รวม “สินค้าส่งออก” อันได้แก่ยาเสพติดและของผิดกฎหมายที่เตรียมทะลักเข้าประเทศไทยเพื่อเป็นทุนรอนในช่วงสงคราม

เอาเข้าจริงแล้วชนกลุ่มน้อยนั้นต้องการความเป็นอิสระมากกว่าประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป นักข่าวอาวุโสท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า แม้อองซานซูจีจะได้ขึ้นมาบริหารประเทศ พวกเขาก็ยังคงไม่ไว้ใจต่อรัฐบาลกลางที่เมืองหลวงอยู่ดี เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือ การไม่เข้ามาแทรกแซงการปกครองของชนกลุ่มน้อย นั่นเท่ากับว่า พวกเขาต้องการความเป็น “อิสระ” ต่อรัฐบาลกลาง ตามข้อตกลงปางโหลงที่เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่าเพื่อสร้างการต่อรองเรียกร้องเอกราช โดยมีข้อกำหนดว่ากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่เข้าร่วมจะสามารถแยกตัวได้ในภายหลัง ซึ่งตามความเป็นจริงหลังจากการสลายตัวของเจ้าอาณานิคม รัฐบาลที่นำโดยชาวพม่าไม่ได้ให้ความจริงใจตามข้อตกลง จนเกิดความขัดแย้งที่สะสมมาสู่ความเกลียดชังในปัจจุบัน

ยิ่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่รัฐบาลทหารได้สร้างข้อกีดกันในการลงคะแนนเสียงของเหล่าชนกลุ่มน้อยอย่างไม่เป็นธรรมในทุกวิถีทาง ตั้งแต่ไม่ให้รับสมัครในเขตเลือกตั้งนั้น ไม่ให้ผู้สมัครคู่แข่งหาเสียง จนกระทั่งไม่เปิดเขตการเลือกตั้งในฐานเสียงของชนกลุ่มน้อยโดยอ้างเหตุผลทางความปลอดภัยของชาวบ้าน เมื่อถูกกดในทุกทิศทางโดยไร้ซึ่งศักดิ์ศรีเช่นนี้ จึงทำให้หลายกลุ่มก้อนเริ่มไม่พอใจ จนทำให้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อศัตรูคนเดียวคือ กองทัพพม่าในที่สุด และทางฝ่ายรัฐบาลนอมินีทหารที่มาจากการเลือกตั้งนั้นก็จะสามารถใช้สรรพกำลังทางการทหารได้อย่างเต็มไม้เต็มมือมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยประการหนึ่งก็เพราะเป็นการใช้อำนาจที่มาจากกระบวนการประชาธิปไตย

ในขณะเดียวกันท่าทีในการสร้างคาวมเป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลทหารนั้นก็ต้องเดินหน้าเพื่อให้พม่าและประเทศที่ให้การสนับสนุนใช้เป็น “ข้ออ้าง” ในการหาผลประโยชน์มหาศาล การปล่อยนางอองซานซูจีเป็นอิสระก็อาจถือว่าเป็นหนึ่งในมาตรการ “หาเสียง” ของความเป็นประชาธิปไตย อีกมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลทหารต้องการสร้างภาพเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญให้กับชาวโลกว่า ฉันได้ปลดปล่อยสัญลักษณ์ทางประชาธิปไตยเรียบร้อยแล้ว แต่กลับกันนักโทษการเมืองอีกกว่า 2,000 คนกลับไม่ได้โชคดี(หรือโชคร้าย) เช่นเดียวกับนาง เพราะนักโทษการเมือง นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยโนเนมยังคงถูกจับกุมอยู่ในคุกอินเส่ง ไม่ได้รับการปล่อยตัวแต่อย่างใด

ผู้คนจำนวนมากที่ให้การสนับสนุนพรรค NLD ที่เธอเป็นผู้นำนั้นต่างพากันดีใจกับข่าวดีนี้ เช่นเดียวกับตัวเธอที่ประกาศว่า เธอพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องการตรวจสอบความโปร่งใสของการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่เธอจะเป็นผู้นำการตรวจสอบครั้งนี้ด้วยตนเอง ท่าทีเหล่านี้อาจไม่ทำให้ “รัฐบาลทหาร” ร้อนหนาวมากเท่าใดนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อน แต่ผู้เขียนเชื่อว่าในกระแสของปัจจุบัน รัฐบาลทหารที่กำลังก้าวบันได 7 ขั้นสู่ความเป็นประชาธิปไตยก็อาจได้รับแรงสั่นสะเทือนจากคำพูดของสตรีผู้ถูกยกย่องเป็นแสงเทียนแห่งประชาธิปไตยในพม่าคนนี้พอสมควร

นั่นเป็นเพราะ รัฐบาลใหม่ที่แม้จะมีหน้าตาละม้ายรัฐบาลทหารมาก แต่พวกเขาไม่สามารถดำเนินการในรูปแบบเดิมได้อีก นั่นเป็นเพราะถ้าหากเขาทำเช่นนั้น ภาพลักษณ์ที่พวกเขาพยายามวางแผนสร้างมาตลอดก็จะสูญสิ้นเสียในทันที ผู้เขียนจึงเชื่อว่ารัฐบาลใหม่นั้นไม่อาจจะทำการกักขังนางในข้อหาเดิมๆที่รัฐบาลทหารเคยทำได้อีกต่อไป เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดปรากฏการณ์อันน่าตกตะลึงเช่นเมื่อชาวอเมริกันว่ายน้ำเข้าบ้านของนาง ในช่วงเวลา 3 เดือนหลังการเลือกตั้ง ที่รัฐบาลทหารจะยังคงรักษา “ความสงบเรียบร้อย” ภายในประเทศพม่าอยู่

เราจึงอาจได้เห็นการกีดกันนางของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยระเบียบ ข้อห้ามที่แปลกกว่าการที่นางมีสามีเป็นชาวต่างชาติ ดังที่เคยกล่าวหามาตลอดชีวิตทางการเมืองของอองซานซูจี มากกว่าการกักขังนางด้วยวิธีทางทหาร

สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งจึงมีความจำเป็นต้องติดตาม โดยเฉพาะไทยที่เป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดมากที่สุด เพราะผลกระทบระลอกแรกที่ออกมาจากประเทศพม่า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชนกลุ่มน้อยหรือความเคลื่อนไหวทางการเมืองในเมืองหลวง/เมืองใหญ่ในพม่า จะส่งแรงสะเทือนมายังประเทศไทยเป็นประเทศแรกอย่างแน่นอน

เฉลิมฉลอง 57 ปีแห่งเอกราชกัมพูชา



ประชาชนกว่า2,000 ชุมนุมกันที่อนุสารีย์เอกราชในกรุงพนมเปญ  ซึ่งวันนี้จะมีพิธีครบรอบ 57 ปีของประเทศที่ได้รับการปดปล่อยจากอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส วงดนตรีได้เล่นสดุดีด้วยความรักชาติ ที่มีทั่งประฃาชน นักเรียนนักศึกษา นักการทูต  ตำรวจ  กองทัพกัมพูชา และบางคนก็จะถือรูปภาพพระเจ้านโรดมสีหมุนี และรูปพ่อ (พระเจ้านโรดมสีหนุ) ฝูงชนเฝ้าดูราชการอาวุโสวางพวงมาลาที่อนุสารีย์


พระเจ้านโรดมสีหมุนีวางพวงมาลาที่ฐานอนุสาวรีย์และจุดชนวนเปลวไฟอยู่ภายในศูนย์กลางประลำพิธี   ตามกระนั้นประเพณีเดิมเปลวไฟที่จุดจะยังคงอยู่ตลอดสามวัน ซึ่งจะมีมหาดเล็กเฝ้า และเปลวไฟนี้จะมอดลงโดยพระเจ้านโรดมสีหมุนีในวันพฤหัสบดี   


วันประกาศเอกราชมีเมื่อ 9พฤษจิกายน 1953 (2496)  กัมพูชาได้รับอิสรภาพจากฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ในอาณานิคมเป็นเวลา 90 ปี มันลงเอยเมื่อพระเจ้านโรดมสีหนุพูดว่า  สงครามครูเสดสู่ความเป็นอิสรภาพ ซึ่งต่อมากลายเป็นที่คุ้นเคยพันธะของหน้าที่ของการเมืองกัมพูชา     นาย Tea Banh รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูในวันที่ พฤษจิกายนเป็นวันที่สำคัญของประชาชนกัมพูชา  โดยเฉพาะ สมาชิกในกองทัพที่การเสียสละของพวกเขาที่มีอยู่เพื่อป้องกันอาณาเขตของประเทศเพื่อความมั่นคง  มันเป็นการยืนยันที่กัมพูชามรฃีอิสรภาพและความมั่นคงทางการเมืองเพื่อการพัฒนาประเทศ “เขาพูดในพิธี”



นาย Yim Sovann โฆษกฝ่ายค้าน พรรค Sam rainsy   พูดขอบคุณที่พระเจ้านโรดมสีหนุสามารถนำกัมพูชาต่อสู้เพื่อเอกราช  แต่ว่าเขาพูดว่ารัฐบาลต้องมีรฃนโยบายที่แน่นอนนกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย และเวียดนามที่จะต้องยอมรับในเอกราช และอธิปไตยของกัมพูชา



“เขาได้ขอบคุณ สีหนุ แต่เขาก็พูดถึงเรื่องปัญหาเขตแดนในปัจจุบันกับเพื่อนบ้านที่จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอธิปไตยของกัมพูชาในอนาคตนี้



เมื่อเร็วๆนี้ SRP  ได้กล่าวถึงรัฐบาลต้องกลับไปพิจารณาถึงกรณีเวียดนามล่วงล้ำพรมแดนกัมพูชา