จะมีอะไรหลังการเลือกตั้งในพม่า
โดย จอมพล ดาวสุโข
การเลือกตั้งในรอบ 20 ปีของประเทศพม่าไม่ได้ทำให้นั กวิชาการหรือผู้สนใจในประเด็ นของประเทศพม่าตื่นเต้น หรือตระหนกกลัวเท่าใดนัก นั่นก็เป็นเพราะการเลือกตั้งได้ ถูก “วางยา” มาตั้งแต่แรกผ่านกฏกติกาในรั ฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ถึงย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งในครั้งนี้นั้นปฏิ เสธไม่ได้ว่าจะมีการเปลี่ ยนแปลงในพม่าอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นทางดีหรือทางร้ายก็ ตาม
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ งนั้นจึงดูเป็นสิ่งที่ผู้จั บตาสถานการณ์ในพม่าให้ ความสนใจมากกว่า โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีพรมแดนติ ดกับพม่ามากที่สุดกว่า 2,000 กิโลเมตร ยาวตลอดแนวทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งมีชนกลุ่มน้อยหลากหลายชาติ พันธุ์อาศัยอยู่ภายใต้ท่าทีที่ แตกต่างกันในช่วงก่อนการเลือกตั ้ง บ้างโอนอ่อนผ่อนตามรัฐบาลทหารผ่ านข้อตกลงหยุดยิง และแปรขบวนกองทัพชาติพันธุ์เป็ นแนวร่วมอาสาปกป้องชายแดน โดยแลกกับผลประโยชน์ที่รั ฐบาลทหารมอบให้ทั้งที่เปิ ดเผยและปิดลับ ในขณะที่บางกลุ่มก็แสดงท่าทีต่ อต้านอำนาจจากส่วนกลางของพม่าผ่ านการลงเลือกตั้งบ้าง หรือทำสงครามขัดแย้งกันในบางช่ วงเวลา
ท่าทีก่อนการเลือกตั้งของชนกลุ่ มน้อยของพม่าก่อนการเลือกตั้งนี ้ แม้ว่าจะมีความคิดที่แตกต่าง แต่ทางการไทยที่ต้องเป็นฝ่ายรั บบทหนักเมื่อพรมแดนฝั่งตรงข้ ามมีปัญหาก็ยังคงพอที่จะรับมื อกับสถานการณ์ได้ จนกระทั่งช่วงเย็นของวันอาทิตย์ แห่งการเลือกตั้งนั่นเอง หลายเมืองยุทธศาสตร์ของชนกลุ่ มน้อยที่ประชิดชายแดนไทยถูกจู่ โจมโดยกองทัพโดยไม่ทันรู้ตัว จนหลายคนบอกว่านี่คื อการแสดงกฤษดาอภินิหารครั้งสำคั ญหลังจากหย่อนบัตรลงคะแนนเสียง บ้างก็ว่ากล่าวโดยคำพูดเสียดสี และตลกร้ายว่า นี่คือกองทหารที่ซุกซ่อนมาพร้ อมกับหีบเลือกตั้งและบั ตรลงคะแนนนั่นเอง ในขณะที่บางส่วนเชื่อว่าเกิ ดจากที่กองทัพนั้นได้ “กลิ่น” การแข็งข้อของชนกลุ่มน้อยเดิมจึ งวางกำลังเตรียมการณ์ไว้ก่อนหน้ า พร้อมชิงบุก “กระชับพื้นที่” ในช่วงที่กองกำลังชนกลุ่มน้อยยั งไม่พร้อม
ไม่ว่าต้นสายของเสียงปืนแตกครั้ งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ผลที่เกิดขึ้นคือชาวบ้านที่ ไม่ทันตั้งตัวต่างพากันอพยพ “หนีภัย” มายังฝั่งไทยเป็ นจำนวนมหาศาลในหลายจุดสำคัญ เช่นที่ด่านแม่สอด หรือที่ด่านเจดีย์สามองค์ เป็นต้น การเข้ามา “หนีภัย” ของคนนับหมื่นนั้นทำให้ไทยที่มี นโยบาย “ไม่เปิด” และ “จะปิด” การขออพยพมาตั้งแต่แรกนั้นอิหลั กอิเหลื่อเป็นอย่างมาก เพราะแหล่งข่าวมีความชัดเจนว่า ท่าทีของไทยหลังการเลือกตั้งพม่ าเสร็จสิ้นคือ “ส่งกลับ” และ “ส่งกลับ” โดยอ้างว่า “พม่า” ได้ดำเนินสู่ความเป็น “ประชาธิปไตย” แล้ว แต่เมื่อสถานการณ์กลับพลิกผัน แน่นอนว่าผู้มีอำนาจในกระทรวงต่ างประเทศหลายคนอาจจะ “ตกเก้าอี้” และ “หมดท่า” โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ยังไม่รวม “สินค้าส่งออก” อันได้แก่ยาเสพติดและของผิ ดกฎหมายที่เตรียมทะลักเข้ าประเทศไทยเพื่อเป็นทุนรอนในช่ วงสงคราม
เอาเข้าจริงแล้วชนกลุ่มน้อยนั้ นต้องการความเป็นอิสระมากกว่ าประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป นักข่าวอาวุโสท่านหนึ่งเคยเล่ าให้ฟังว่า แม้อองซานซูจีจะได้ขึ้นมาบริ หารประเทศ พวกเขาก็ยังคงไม่ไว้ใจต่อรั ฐบาลกลางที่เมืองหลวงอยู่ดี เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือ การไม่เข้ ามาแทรกแซงการปกครองของชนกลุ่ มน้อย นั่นเท่ากับว่า พวกเขาต้องการความเป็น “อิสระ” ต่อรัฐบาลกลาง ตามข้อตกลงปางโหลงที่เกิ ดจากการรวมตัวกันของกลุ่มชาติพั นธุ์ในพม่าเพื่อสร้างการต่ อรองเรียกร้องเอกราช โดยมีข้อกำหนดว่ากลุ่มชาติพันธุ ์ต่างๆที่เข้าร่วมจะสามารถแยกตั วได้ในภายหลัง ซึ่งตามความเป็นจริงหลั งจากการสลายตัวของเจ้าอาณานิคม รัฐบาลที่นำโดยชาวพม่าไม่ได้ให้ ความจริงใจตามข้อตกลง จนเกิดความขัดแย้งที่สะสมมาสู่ ความเกลียดชังในปัจจุบัน
ยิ่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ รัฐบาลทหารได้สร้างข้อกีดกั นในการลงคะแนนเสียงของเหล่ าชนกลุ่มน้อยอย่างไม่เป็ นธรรมในทุกวิถีทาง ตั้งแต่ไม่ให้รับสมัครในเขตเลื อกตั้งนั้น ไม่ให้ผู้สมัครคู่แข่งหาเสียง จนกระทั่งไม่เปิดเขตการเลือกตั้ งในฐานเสียงของชนกลุ่มน้อยโดยอ้ างเหตุผลทางความปลอดภัยของชาวบ้ าน เมื่อถูกกดในทุกทิศทางโดยไร้ซึ่ งศักดิ์ศรีเช่นนี้ จึงทำให้หลายกลุ่มก้อนเริ่มไม่ พอใจ จนทำให้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อศั ตรูคนเดียวคือ กองทัพพม่าในที่สุด และทางฝ่ายรัฐบาลนอมินีทหารที่ มาจากการเลือกตั้งนั้นก็ จะสามารถใช้สรรพกำลั งทางการทหารได้อย่างเต็มไม้เต็ มมือมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยประการหนึ่งก็เพราะเป็ นการใช้อำนาจที่ มาจากกระบวนการประชาธิปไตย
ในขณะเดียวกันท่าทีในการสร้ างคาวมเป็นประชาธิปไตยของรั ฐบาลทหารนั้นก็ต้องเดินหน้าเพื่ อให้พม่าและประเทศที่ให้การสนั บสนุนใช้เป็น “ข้ออ้าง” ในการหาผลประโยชน์มหาศาล การปล่อยนางอองซานซูจีเป็นอิ สระก็อาจถือว่าเป็นหนึ่ งในมาตรการ “หาเสียง” ของความเป็นประชาธิปไตย อีกมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลทหารต้ องการสร้างภาพเชิงสัญลักษณ์ที่ สำคัญให้กับชาวโลกว่า ฉันได้ปลดปล่อยสัญลักษณ์ ทางประชาธิปไตยเรียบร้อยแล้ว แต่กลับกันนักโทษการเมืองอีกกว่ า 2,000 คนกลับไม่ได้โชคดี(หรือโชคร้าย) เช่นเดียวกับนาง เพราะนักโทษการเมือง นักกิจกรรมเพื่อประชาธิ ปไตยโนเนมยังคงถูกจับกุมอยู่ ในคุกอินเส่ง ไม่ได้รับการปล่อยตัวแต่อย่างใด
ผู้คนจำนวนมากที่ให้การสนับสนุ นพรรค NLD ที่เธอเป็นผู้นำนั้นต่างพากันดี ใจกับข่าวดีนี้ เช่นเดียวกับตัวเธอที่ประกาศว่า เธอพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้ งหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่ องการตรวจสอบความโปร่ งใสของการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่เธอจะเป็นผู้นำการตรวจสอบครั ้งนี้ด้วยตนเอง ท่าทีเหล่านี้อาจไม่ทำให้ “รัฐบาลทหาร” ร้อนหนาวมากเท่าใดนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อน แต่ผู้เขียนเชื่อว่ าในกระแสของปัจจุบัน รัฐบาลทหารที่กำลังก้าวบันได 7 ขั้นสู่ความเป็นประชาธิปไตยก็ อาจได้รับแรงสั่นสะเทือนจากคำพู ดของสตรีผู้ถูกยกย่องเป็นแสงเที ยนแห่งประชาธิปไตยในพม่าคนนี้ พอสมควร
นั่นเป็นเพราะ รัฐบาลใหม่ที่แม้จะมีหน้าตาละม้ ายรัฐบาลทหารมาก แต่พวกเขาไม่สามารถดำเนิ นการในรูปแบบเดิมได้อีก นั่นเป็นเพราะถ้าหากเขาทำเช่นนั ้น ภาพลักษณ์ที่ พวกเขาพยายามวางแผนสร้ างมาตลอดก็จะสูญสิ้นเสียในทันที ผู้เขียนจึงเชื่อว่ารัฐบาลใหม่ นั้นไม่อาจจะทำการกักขังนางในข้ อหาเดิมๆที่รัฐบาลทหารเคยทำได้ อีกต่อไป เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ อันน่าตกตะลึงเช่นเมื่อชาวอเมริ กันว่ายน้ำเข้าบ้านของนาง ในช่วงเวลา 3 เดือนหลังการเลือกตั้ง ที่รัฐบาลทหารจะยังคงรักษา “ความสงบเรียบร้อย” ภายในประเทศพม่าอยู่
เราจึงอาจได้เห็นการกีดกั นนางของรัฐบาลที่มาจากการเลื อกตั้ง โดยระเบียบ ข้อห้ามที่แปลกกว่าการที่นางมี สามีเป็นชาวต่างชาติ ดังที่เคยกล่าวหามาตลอดชีวิ ตทางการเมืองของอองซานซูจี มากกว่าการกักขังนางด้วยวิธี ทางทหาร
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังการเลื อกตั้งจึงมีความจำเป็นต้องติ ดตาม โดยเฉพาะไทยที่เป็นเพื่อนบ้านที ่ใกล้ชิดมากที่สุด เพราะผลกระทบระลอกแรกที่ ออกมาจากประเทศพม่า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชนกลุ่มน้ อยหรือความเคลื่อนไหวทางการเมื องในเมืองหลวง/เมืองใหญ่ในพม่า จะส่งแรงสะเทือนมายั งประเทศไทยเป็นประเทศแรกอย่ างแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น